Reskill Thailand เติมเต็มความรู้และแรงบันดาลใจ ในการพัฒนาทักษะใหม่ให้คนทำงาน เพื่อตอบรับการเปลี่ยนแปลงของโลก by Mission To The Moon Media
Mission To The Moon
“มันจะไอ้นั่นไง…แบบ…ไอ้นั่นอะ” .เคยตกอยู่ในสถานการณ์ที่สมองตื้อ หยุดทำงานไปเฉยๆ หรืออยู่ๆ ก็นึกคำไม่ออก ทั้งที่เป็นคำง่ายๆ ในชีวิตประจำวันที่เราคุ้นเคยกันหรือเปล่า? .ถ้าไม่เคยเป็น อย่างน้อยก็ในชีวิตของเราก็จะต้องมีเพื่อน ครอบครัว หรือใครสักคนที่มีนิสัยติดพูดคลุมเครือ พูดกำกวม หรือไม่ก็พูดไม่รู้เรื่องอยู่รอบตัวสักคนหนึ่ง.นิสัยที่อาจสร้างความรำคาญใจให้กับผู้ฟัง หรือในบางครั้งก็เพิ่ม ‘ความมั่นใจ’ ในการสื่อสารให้กับตัวผู้พูดเองนี้เรียกว่าสภาวะ Tip of the Tongue (TOT) หรือ Lethologica ซึ่งเป็นกระบวนการทางสมองที่ซับซ้อน แต่ถ้าสังเกตคนรอบตัว หรือแม้แต่ผู้ใหญ่ในบางคนก็จะพบว่าสภาวะนี้เกิดขึ้นได้ง่ายกว่าที่คิด..สภาวะ Tip of the Tongue คืออะไร?.โดยปกติแล้ว สมองของเราจะเรียกคำต่างๆ จากคลังคำหรือคลังความรู้ขนาดใหญ่ได้อย่างราบรื่น จับคู่ความหมายและเสียงของคำต่างๆ และนำมาเรียงเป็นประโยค แต่ในขณะที่เกิดสภาวะ Tip of the Tongue กระบวนการเรียกคืนนี้จะติดขัด สับสน และมีความรู้สึกว่าคลับคล้ายคลับคลา หรือพอจะคุ้นๆ กับคำนั้นได้ แต่กลับนึกไม่ออกว่าเป็นคำว่าอะไร กลายเป็นสภาวะที่เรียกว่า ‘Tip of the Tongue’.สภาวะ Tip of the Tongue (TOT) หรือ Lethologica หมายถึง การที่เราไม่สามารถนึกชื่อของครูประจำชั้นวัยประถม หรือนึกถึง ‘คำ’ ที่มีความหมายเฉพาะเจาะจงกับสถานการณ์นั้นๆ แม้ว่าเราจะรู้จักคำนั้นดีและพยายามนึกถึง แต่กลายเป็นว่านึกไม่ออก.กระบวนการนี้เป็นปรากฏการณ์อันซับซ้อนที่เกิดขึ้นกับสมองของคนก็จริง แต่ในหลายๆ ครั้งเรากลับพบว่าเหตุการณ์ที่คล้ายกันนี้เกิดขึ้นได้บ่อยครั้ง ไม่ว่าจะกับคนรอบตัวเรา หรือแม้แต่เราเอง เวลาที่เราคิดอะไรบางอย่าง สมองจะกำหนดคำซึ่งสอดคล้องกับความหมายที่เราจะสื่อ และเราก็พูดสิ่งที่อยู่ในหัวออกมา.แต่เมื่อเกิดสภาวะ Tip of the Tongue หรือ Lethologica ขึ้น คำเหล่านั้นก็จะหายไปทันที แม้ว่ากระบวนการนี้จะยังไม่มีงานวิจัยมาอธิบายกลไกทางสมองที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจน แต่ผู้เชี่ยวชาญหลายคนก็หยิบยกทฤษฎีที่น่าสนใจ เช่น.[ ] สภาวะ Tip of the Tongue มีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นมากเมื่อผู้คนรู้สึกเหนื่อยล้า[ ] ยิ่งความทรงจำถูกรบกวน ผู้คนก็จะยิ่งมีแนวโน้มที่จะนึกคำง่ายๆ ไม่ออก[ ] หากเกิด Tip of the Tongue ซ้ำๆ ในช่วงสอบ หรือวันที่ต้องนำเสนองานสำคัญ แปลว่าเราอาจจะต้องเตรียมตัวและศึกษาข้อมูลที่จะพูดให้มากขึ้น[ ] สภาวะ Tip of the Tongue อาจเป็นสัญญาณเตือนถึงปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรงยิ่งกว่านั้น เช่น ภาวะสมองเสื่อม เป็นต้น.นอกจากนี้ ยังมีข้อเท็จจริงอีกหลายประการที่เราอาจจะยังไม่รู้เกี่ยวกับสภาวะ Tip of the Tongue แต่อาจจะเป็นประโยชน์กับการศึกษาวิจัยในอนาคต เช่น.[ ] เป็นปรากฏการณ์สากลที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน ทุกวัฒนธรรมภาษา[ ] ยิ่งอายุเพิ่มขึ้น ยิ่งประสบสภาวะ Tip of the Tongue ได้มากขึ้น [ ] ผู้คนมักจะจำข้อมูลบางส่วนของคำได้ เช่น คลับคล้ายคลับคลาพยัญชนะขึ้นต้น หรือบางพยางค์ เป็นต้น[ ] ‘ชื่อเฉพาะ’ เช่น ชื่อบุคคล หรือชื่อสถานที่ เป็นคำประเภทที่นึกออกได้ยากมากที่สุด.นอกจากนี้ คนที่สื่อสารมากกว่า 1 ภาษาก็มักจะมีแนวโน้มประสบกับสภาวะ Tip of the Tongue ได้มากกว่า อาจเป็นเพราะพวกเขารู้มากกว่าหนึ่งคำเพื่ออธิบายถึงสิ่งเดียวกัน.แต่ในขณะที่เรารู้สึกเหมือนกับว่าสมองกำลังจะล้มเหลวในการนึก ‘คำบางคำ’ ให้ออก คนที่ประสบกับสภาวะ Tip of the Tongue อาจจะเกิดความรู้สึกรำคาญใจ ทั้งหงุดหงิดที่ไม่สามารถสื่อสารความคิดออกไปได้ อีกทั้งยังกังวลกับปฏิกิริยาของคู่สนทนาที่รอฟังอยู่ด้วย.แล้วเราจะแก้ไขหรือจัดการกับสภาวะ Tip of the Tongue อย่างไรดี?..‘ให้เวลาสักเล็กน้อย’ ก็ลดการเกิดของสภาวะ Tip of the Tongue ได้.เมื่อเรารู้สึกว่าคำคำนั้นติดอยู่ที่ปลายลิ้นจริงๆ และทำอย่างไรก็นึกไม่ออกสักที การจัดการกับสภาวะ Tip of the Tongue ที่ดีที่สุดมักจะเป็นสิ่งที่ตรงข้ามกับสัญชาตญาณอย่าง ‘เลิกคิดถึงมันไปก่อน’.เพราะในช่วงเวลาที่เราผ่อนคลาย ไม่ได้กดดันตัวเองหรือพยายามในการนึกอย่างเร็วๆ คำคำนั้นมักจะโผล่ขึ้นมาเอง ซึ่งนักวิจัยก็คิดว่าวิธีการผ่อนคลายแบบนี้ช่วยเพิ่มโอกาสให้สมองเรียกคืนความจำได้โดยไม่มีอารมณ์หงุดหงิดและเครียดเข้ามารบกวน.หรือหากใครอยากกระตุ้นความทรงจำให้กลับมานึกถึงคำคำนั้นออกได้ไวอีกครั้ง ก็สามารถลองทำตามวิธีต่อไปนี้ได้.[ ] สังเกตเบาะแสอื่นๆ ที่ผุดขึ้นมาในหัว ณ เวลานั้น เช่น พยัญชนะขึ้นต้น จำนวนพยางค์ หรือโทนเสียง [ ] พยายามนึกถึงบริบท สถานที่ หรือบุคคลที่เกี่ยวข้องกับคำคำนั้น ..ดูเป็นวิธีง่ายๆ ที่อาจจะต้องให้เวลากับตัวเอง รวมถึงใช้ความอดทนมากขึ้นอีกเล็กน้อยในการนึกถึงคำที่เราคุ้นเคย แต่อยู่ๆ คำคำนั้นหลุดจากหัวไปจนนึกไม่ออก อย่างไรก็ตาม การพยายามเชื่อมโยงไปยังความทรงจำ ประสบการณ์ หรือข้อมูลอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอาจช่วยกระตุ้นให้เรานึกถึงคำคำนั้นได้ง่ายขึ้น.ทั้งนี้ หากรู้สึกว่าการหลงๆ ลืมๆ คำง่ายเริ่มสร้างความเดือดร้อนให้กับชีวิตประขำวันมากขึ้น แนะนำให้ปรึกษาแพทย์เพื่อวินิจฉัยหาสาเหตุที่แน่ชัดต่อไป..อ้างอิง- This is what happens in your brain when you can’t recall a word - Cella Wright; TED-Ed - bit.ly/48HaTiq- Lethologica or Tip-of-the-Tongue Phenomenon; Kendra Cherry, Verywell Mind - bit.ly/4a6u0oM..#TipoftheTongue#psychology#missiontothemoon#missiontothemoonpodcast
10 hours ago | [YT] | 24
View 0 replies
🚀คอร์ส Level-Up Your Work-Life ทำงานให้ Pro เพื่อชีวิตที่ Flow เปิดให้เรียนออนไลน์ย้อนหลังตลอดชีพ!📌เมื่อสมัครภายใน 11-15 ธันวาคม 2568 รับส่วนลดทันที 300 บาท (เหลือ 2,900 บาท จาก 3,200 บาท) เพียงกรอกโค้ด “DEC300” บนเว็บไซต์ Mission Academy.⭐สามารถดูรายละเอียดและสมัครเรียนได้ที่ : academy.missiontothemoon.co/level-up-your-work-lif…..ถึงชีวิตที่คุณวางแผนไว้จะยัง "ไม่เป็นดังตั้งใจ" แต่ยังไม่สายเกินไปที่จะเริ่มต้นใหม่.หลายคนทำงานวันละ 8-10 ชั่วโมง จมอยู่กับความวุ่นวายและเป้าหมายขององค์กร แต่กลับหาเวลาให้ชีวิตตัวเองไม่ได้ คุณเก่งมากในการจัดการกับ KPI งาน แต่เมื่อถึงเรื่องชีวิตส่วนตัว กลับตัดสินใจไม่ได้ว่าอะไรคือสิ่งที่ต้องการจริงๆ.[ ] "เป้าหมายชีวิตของเราคืออะไรกันแน่?"[ ] "ทำไมวันๆ เราทำงานหนัก แต่ชีวิตดูไม่ไปไหน?"[ ] "แล้วเราจะมีความสุขกับงานและชีวิตไปพร้อมกันได้อย่างไร?".“Level-Up Your Work-Life ทำงานให้ Pro เพื่อชีวิตที่ Flow” คอร์สที่ถูกออกแบบมาสำหรับคนวัยทำงานทุกคนที่อยากมีชีวิตที่ Meaningful มากขึ้น ให้ทุกคนได้มีเวลาให้ตัวเองจริงๆ ได้ทบทวนตัวเอง และได้รู้จักตัวเองดียิ่งขึ้น สอนโดย 2 วิทยากรชั้นนำของประเทศไทย.1. รวิศ หาญอุตสาหะ CEO, Srichand & Mission To The Moon Media2. ผศ.ดร. กฤตินี เพิ่มทรัพย์ อาจารย์ด้านการตลาด ผู้มีประสบการณ์สอนในมหาวิทยาลัย 10+ ปี เจ้าของเพจ "เกตุวดี Marumura".ตั้งแต่ระบบการทำงานที่ “ทำน้อยแต่ได้มาก” ในแบบฉบับของคุณเอง ควบคู่ไปกับการสร้าง Personal Vision อย่างเป็นระบบ การจัดการพลังงานแบบยั่งยืน การออกแบบเป้าหมายที่ "ทำได้จริง" ไปจนถึงการสร้างระบบติดตามที่ทำให้คุณไม่หลุดทางกลางคัน พบได้ทั้งหมดในคอร์สเรียนออนไลน์ 2 วัน พร้อมรับ Blueprint ส่วนตัวที่นำไปใช้ได้ทันที ภายใต้การถ่ายทอดจากผู้ที่ผ่านการทำงานและใช้ชีวิตมาในหลากหลายสถานการณ์จริง.หากใครก็ตามที่ต้องการจะหลุดออกจากรูทีนซ้ำๆ เดิมๆ อยากมีเป้าหมายชัดเจนแต่ยังไม่รู้จะเริ่มต้นยังไงให้มันเกิดขึ้นได้จริง ภายในหลักสูตรนี้ คุณจะได้เรียนรู้ทุกขั้นตอนของการออกแบบชีวิตที่มี Impact ห้ามพลาดเด็ดขาด!.🔥 ราคาคอร์ส Recording Session💰 ราคา 3,200 บาท📅 ซื้อได้วันที่ 11 ธันวาคม 2568 เป็นต้นไป📹 เริ่มเรียนได้วันที่ 22 ธันวาคม 2568 เป็นต้นไป.📌เมื่อสมัครภายใน 11-15 ธันวาคม 2568 รับส่วนลดทันที 300 บาท (เหลือ 2,900 บาท จาก 3,200 บาท) เพียงกรอกโค้ด “DEC300” บนเว็บไซต์ Mission Academy.⭐สามารถดูรายละเอียดและสมัครเรียนได้ที่ : academy.missiontothemoon.co/level-up-your-work-lif…สอบถามเพิ่มเติม LINE OA: @missiontothemoon..#LevelUpYourWorklife#Productivity#Life#Work#missionacademy
13 hours ago | [YT] | 8
#missionชวนคุย มาแชร์กันว่า...
1 day ago | [YT] | 24
View 6 replies
⏰ตั้งเวลาไว้ให้พร้อม เพราะพรุ่งนี้ คอร์ส “Level-Up Your Work-Life ทำงานให้ Pro เพื่อชีวิตที่ Flow” คลาสสุดท้ายจะเริ่มสอนสดออนไลน์แล้ว!.📖Day 2 : Yarigai สำเร็จแบบที่ไม่ต้องเปรียบเทียบใคร 📅10 ธันวาคม 2568 เวลา 19.00 - 21.00 น.โดย ผศ.ดร. กฤตินี เพิ่มทรัพย์ เจ้าของเพจ "เกตุวดี Marumura" อาจารย์ด้านการตลาด ผู้มีประสบการณ์สอนในมหาวิทยาลัย 10+ ปี ระยะเวลาเรียน : 1.30 ชั่วโมง + ถามตอบแบบใกล้ชิดจัดเต็ม 30 นาที (เฉพาะผู้เรียนสดผ่านกลุ่ม Facebook เท่านั้น).[ ] Kansha : ฝึกความรู้สึกขอบคุณ การเห็นคุณค่าของสิ่งรอบๆ ตัว [ ] Kosei : ค้นหาทักษะเฉพาะตัวเรา ที่เราเองอาจมองข้าม [ ] Yarigai : การใชัทักษะของเรา สร้างประโยชน์ให้ผู้อื่น และได้เห็นคุณค่าของตนเอง [ ] ได้เรียนรู้หลักการ Journal Writing เพื่อเรียบเรียงความคิดของตัวเองออกมาอย่างเป็นระบบ[ ] ให้คุณได้ทบทวนความฝันและความต้องการตนเอง [ ] ได้มองเห็นแนวทางชีวิตตนเองชัดมากขึ้น .ซึ่งหลังจากที่การชำระเงินสำเร็จแล้ว ผู้เรียนทุกท่านจะได้รับอีเมลยืนยันการสมัครเรียน พร้อมกับลิงก์เข้ากลุ่ม Facebook Private Group สำหรับการเรียนการสอน.อีเมลดังกล่าวที่ผู้เรียนทุกท่านจะได้รับนั้นจะมีหัวข้อว่า : [ขอขอบคุณที่สมัครเรียนคอร์ส Level-Up Your Work-Life : ทำงานให้ Pro เพื่อชีวิตที่ Flow กับทาง Mission Academy] จากอีเมล academy@missiontothemoon.co.ดังนั้น หากผู้เรียนท่านใดที่ยังไม่ได้รับอีเมลดังกล่าวจากทีมงาน Mission Academy โปรดติดต่อ LINE OA: @missiontothemoon .โดยถ้าหากผู้เรียนท่านไหนที่สมัครแล้ว เกิดติดธุระหรือไม่สะดวกเข้าเรียนในวันที่สอนก็ไม่ต้องเสียใจไป เพราะผู้เรียนทุกคนยังสามารถรับชมการเรียนการสอนแบบย้อนหลังได้ถึง 2 ช่องทางด้วยกัน นั่นก็คือ.1. ผู้สมัครรอบเรียนสดออนไลน์ทั้ง 2 วันสามารถรับชมการสอนย้อนหลังในกลุ่ม Facebook Private Group ได้ 30 วันหลังจบคลาส.2. ผู้สมัครรอบเรียนสดออนไลน์ทั้ง 2 วันสามารถรับชมบทเรียนย้อนหลังผ่านแพลตฟอร์ม Mission Academy ได้ตลอดชีวิต (เริ่มตั้งแต่วันที่ 22 ธันวาคม 2568 เป็นต้นไป).🔥ส่วนใครที่ซื้อรอบเรียนสดออนไลน์ไม่ทัน ไม่ต้องห่วง เพราะเราจะมีเปิดรอบเรียนย้อนหลัง เตรียมเปิดโนติฯ รอประชาสัมพันธ์เพิ่มเติมได้เลย!.หากท่านใดมีข้อสงสัยเพิ่มเติม สามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่Facebook : Mission AcademyLINE OA : @missiontothemoon Email: academy@missiontothemoon.coTel: คุณไหม 089-452-2898**เวลาทำการ จันทร์-ศุกร์ (09.00-18.00 น.)..#LevelUpYourWorklife#Productivity#Life#Work#missionacademy
2 days ago | [YT] | 24
View 2 replies
ถ้าการค้นหาข้อมูลบนอินเทอร์เน็ตในช่วงนี้ทำให้เราโมโห หงุดหงิดและรู้สึกยุ่งยากกว่าเดิม ไม่แน่ว่าเราอาจกำลังเข้าสู่ ‘ยุค AI Slop’ หรือยุคล่มจมของโลกอินเทอร์เน็ตแล้วก็ได้.หากลองสังเกตดู เดี๋ยวนี้เวลาจะค้นหาอะไรทางอินเทอร์เน็ตก็เจอแต่หน้าเว็บไซต์หรือเพจที่แฝงโฆษณาจากสปอนเซอร์ แต่เนื้อหาข้อมูลข้างในกลับใช้ประโยชน์ไม่ได้ .หรือบางครั้งเครื่องมือค้นหาที่สร้างขึ้นจาก AI ก็นำเสนอแต่ข้อมูลที่เชื่อถือไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับข้อมูลที่อาจสร้างความเข้าใจผิดและผลกระทบ เช่น ด้านวิทยาศาสตร์ การแพทย์ หรือข้อมูลข่าวสารสำคัญ.ทั้งนี้ก็เพราะ AI มีบทบาทกับชีวิตของเราเพิ่มมากขึ้น จากที่เคยเป็นตัวช่วยของคนทำงานแค่บางสาขาอาชีพก็กลายเป็นเครื่องมือที่ใครต่อใครต้องเรียนรู้ และปรับตัวเข้าหายุคที่ AI กำลังจะครองโลก .แต่ในหลายครั้งความง่าย ความสะดวกสบาย หรือความไวซึ่งเป็นคุณสมบัติเด่นของ AI ก็ก่อให้เกิด ‘ยุคล่มจม’ ของโลกแห่งอินเทอร์เน็ต จนผู้เชี่ยวชาญบัญญัติศัพท์ว่า ‘AI Slop’ และ ‘Enshittification’ ที่สะท้อนถึงความเสื่อมถอยของอุตสาหกรรมอินเทอร์เน็ตและเทคโนโลยี.แล้ว ‘AI Slop’ และ ‘Enshittification’ ที่ว่านี้คืออะไรกันแน่? และที่สำคัญกว่านั้นเราในฐานะผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ต สื่อออนไลน์ รวมถึงเครื่องมือ AI ทั้งหลายจะต้องรับมืออย่างไร?..คุณภาพของข้อมูลแย่ลงไม่พอ ยังต้อง ‘จ่ายเงินเพิ่ม’ เพื่อเข้าถึงข้อมูลที่น่าเชื่อถือได้.ก่อนที่โลกจะคุ้นเคยกับสิ่งที่เรียกว่า AI การใช้งานอินเทอร์เน็ต หมายถึง เมื่อเรากดค้นหาข้อมูลของอะไรสักอย่าง ไม่ว่าจะเป็นสินค้า ผลิตภัณฑ์ หรือต้องการหาความรู้ถึงสิ่งที่สงสัย เรามักจะต้องกดเข้าไปอ่านเนื้อหาจากหลายๆ เว็บไซต์เพื่อคัดกรองเฉพาะข้อมูลที่น่าเชื่อถือมากที่สุด ซึ่งหากใครมีเวลาจำกัดก็มักจะเชื่อถือเว็บไซต์แรกที่ถูกนำมาแสดงผล.ซึ่งเมื่อเทียบกับยุคนี้ที่เว็บไซต์แฝงโฆษณาหรือสปอนเซอร์มักจะถูกนำมาแสดงเป็นอันดับแรกๆ เท่านั้นยังไม่พอ เครื่องมือการค้นหายังเปิดให้ AI สามารถเจนฯ คำตอบขึ้นมา ซึ่งสิ่งที่แสดงผลออกมานั้นไม่มีการตรวจสอบโดยผู้เชี่ยวชาญ รวมถึงเราในฐานะผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตเองก็ยังไม่สามารถตรวจสอบแหล่งที่มาได้อีกด้วย.ยิ่งไปกว่านั้น ในกลุ่มคนทำงานจะรู้กันดีว่า AI คุณภาพที่สามารถเป็น ‘เครื่องมือช่วย’ ของเราได้จริงๆ ทั้งในแง่ของความสะดวก ความรวดเร็ว และคุณภาพที่ดีกว่าล้วนเป็นเครื่องมือ AI ที่ต้องจ่ายเงินเพิ่ม เช่น เครื่องมือหรือโหมด Research ของ Generative AI บางตัว.ทั้งหมดนี้คือปรากฏการณ์ที่พบเห็นได้ชัดของการเสื่อมถอยของยุคอินเทอร์เน็ตที่มี AI เป็นตัวขับเคลื่อนหลัก จนกลายเป็นที่มาของคำศัพท์ที่ว่า “AI Slop” หรือสื่อคอนเทนต์คุณภาพต่ำไม่ว่าจะเป็น ข้อความ รูปภาพ หรือคลิปวิดีโอ ที่ถูกสร้างขึ้นโดย AI ซึ่งการเกิดขึ้นอย่างแพร่หลายของ AI Slop ก็ทำให้ผู้เชี่ยวชาญต่างศึกษาถึงที่มาและสาเหตุที่ทำให้เนื้อหาของข้อมูลบนโลกอินเทอร์เน็ตเสื่อมคุณภาพลง .ทั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญที่เป็นทั้งนักเขียน นักพูด นักข่าวและนักเคลื่อนไหวชาวแคนาดา-อังกฤษอย่าง Cory Doctorow ได้บัญญัติศัพท์คำหนึ่ง ซึ่งได้รับความนิยมในกลุ่มของนักเศรษฐศาสตร์ รวมถึงผู้เชี่ยวชาญสาขาต่างๆ ในเวลาต่อมา นั่นคือคำว่า “Enshittification” ด้วยเช่นกัน.Cory Doctorow ได้ระบุว่า “Enshittification” คำคำนี้สะท้อนให้เห็นความเสื่อมถอย ความล่มจม หรือคุณภาพที่ลดลงซึ่งไม่ได้เกิดจากความผิดพลาด แต่เป็นวัฏจักรที่ผู้ผลิตคอนเทนต์หรือ AI จงใจที่จะเปลี่ยนเราในฐานะ ‘ผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ต’ เป็นแหล่งรายได้สูงสุด ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิด AI Slop ในปัจจุบัน.กล่าวคือ แพลตฟอร์มหรือผู้ผลิตคอนเทนต์ รวมถึงผู้ให้บริการ AI เจ้าต่างๆ จะใช้กลยุทธ์สร้างรายได้ด้วยการดึงลดคุณภาพของข้อมูลเนื้อหาลง เพื่อเรียกร้องให้ผู้บริโภคยอมจ่ายเงินมากขึ้น ซึ่งน้อยคนนักที่จะต้านทาน เพราะกลยุทธ์ต่างๆ ถูกออกแบบมาอย่างแยบยล และแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะต่อต้านการซื้อเครื่องมือ AI ที่ให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าแม้จะต้องจ่ายแพงกว่า ในยุคที่ทุกคนมี AI แพ็กเกจพื้นฐานติดตัว.แล้วกลยุทธ์ ‘Enshittification’ ของผู้ผลิตที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์ AI Slop ตามความเห็นของ Cory Doctorow นั้นทำงานอย่างไร?.[ ] ขั้นแรก: ทุ่มทุนพัฒนา AI เพื่อซื้อใจ มอบความสะดวกสบายให้กับผู้ใช้งาน.ในยุคเริ่มต้น แพลตฟอร์มจะระดมทุนมหาศาลจากนักลงทุน และใช้เงินเหล่านั้นเพื่อมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับคนทั่วไป โดยในช่วงแรกแพลตฟอร์มจะเน้น ‘ผู้ใช้งานทั่วไป’ เป็นศูนย์กลาง และมอบความสะดวก สิทธิพิเศษ รวมถึงแพ็กเกจเสริมอื่นๆ ในราคาที่ต่ำกว่าทุน ซึ่งในกระบวนการแรกผู้คนก็จะสามารถเข้าถึงเครื่องมือ AI คุณภาพได้อย่างทั่วถึง และเคยชินกับการมี AI เป็นทางลัดของชีวิตในทุกวัน.[ ] ขั้นที่ 2: เริ่มถือไพ่เหนือกว่าผู้ใช้งาน.เมื่อผู้ใช้งาน AI เริ่มมีหลากหลายมากขึ้น ทั้ง Personal User และ Business User เราจะเริ่มรู้สึกว่าแพลตฟอร์มไม่มีทางเลือกที่ดีกว่าเสนอให้กับเราอีกแล้ว นี่จะเป็นช่วงที่แพลตฟอร์มหรือผู้พัฒนา AI จะเริ่มลดผลประโยชน์ของ ‘ผู้ใช้งานบัญชีทั่วไป’ หรือ Personal User เช่น การติดลิมิตเพื่อจำกัดเวลาหรือปริมาณข้อมูลในแต่ละครั้งของการใช้งาน หรือเสนอให้จ่ายเงินเพิ่มเพื่อซื้อฟังก์ชันที่มีประโยชน์อื่นๆ เพิ่มเติม.ยิ่งไปกว่านั้น แพลตฟอร์มจะเริ่มหันไปมอบผลประโยชน์ให้กับพันธมิตรทางธุรกิจแทน เช่น อนุญาตให้ธุรกิจสามารถปรับอัลกอริทึม เพื่อให้สินค้าของตนเองปรากฏเป็นอันดับต้นๆ ในการค้นหา เป็นต้น.[ ] ขั้นสุดท้าย: ลดคุณภาพเพื่อกำไรสูงสุด.ท้ายที่สุด เมื่อผู้ใช้งานทั่วไปและผู้ใช้งานแบบธุรกิจถูกระบบจดจำข้อมูล รวมถึงพฤติกรรมการใช้งานอินเทอร์เน็ตแล้ว แพลตฟอร์มก็จะเริ่มเข้าสู่ขั้นตอนการลดคุณภาพทั้งหมดกลับคืนไปเพื่อมอบกำไรให้กับผู้ถือหุ้นและตัวแพลตฟอร์มเอง.ผู้ใช้งานจะรู้สึกว่าต้อง ‘ยอมจ่าย’ ค่าธรรมเนียมในราคาที่สูงขึ้น เพื่อเข้าถึงคุณภาพของ AI หรือเครื่องมืออัลกอริทึมที่จำเป็นกับธุรกิจของตัวเองมากขึ้น.นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้เราต้องเผชิญกับ AI Slop ทั้งเครื่องมือค้นหาที่แย่ลง ทั้งผลการค้นหาคุณภาพต่ำ และในบางครั้งก็เต็มไปด้วยโฆษณา สปอนเซอร์ ซึ่งไม่ตรงกับข้อมูลที่อยากได้ โดยทางเลือกเดียวที่จะช่วยให้เราเข้าถึง ‘คุณภาพ’ ซึ่งเป็นมาตรฐานเดิมได้ก็คือการจ่ายเงินเพิ่มเท่านั้น.แล้วเราในฐานะที่เป็นผู้บริโภคหรือ ‘ผู้ใช้งานทั่วไป’ ในโลกอินเทอร์เน็ตจะทวงคืนสิทธิ์ของตัวเองได้อย่างไร?..รับมือกับ Enshittification และโลกที่เต็มไปด้วย AI Slop.แม้ว่าการต่อสู้กับกระแสของ AI และการแข่งกับภาคธุรกิจจะเป็นเรื่องใหญ่ อีกทั้งยังดูจะไม่ได้สร้างแรงเปลี่ยนแปลงอะไรมากในความคิดของใครบางคน แต่วิธีที่ Misison To The Moon ได้รวบรวมมาจากบทความ Medium นี้อาจจะช่วยให้ทุกคนเห็นทางออกที่สามารถเริ่มต้นที่ตัวเองได้.โดยวิธีทวงคืนคุณค่าของการค้นคว้า และพัฒนาคุณภาพของสื่อคอนเทนต์ในอินเทอร์เน็ตในยุค AI Slop มีดังต่อไปนี้.[ ] ฝึกฝนวิจารณญาณเพื่อแยกแยะระหว่าง AI Slop กับ ‘ข้อมูลคุณภาพ’.เราในฐานะผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตและผู้เสพคอนเทนต์จะต้องมีวิจารณญาณมากขึ้นในการสังเกต วิเคราะห์ และแยกแยะระหว่าง ‘ข้อมูลหรือเนื้อหาที่มีคุณภาพ’ ออกจาก AI Slop โดยเนื้อหาที่มีคุณภาพสูงจะต้องใช้ความตั้งใจ ใช้เวลา และสะท้อนความเป็นมนุษย์ .โดยเนื้อหาที่สร้างจากมนุษย์จะให้ความรู้สึกจริงใจ จุดประกาย หรือเชื่อมโยงกับเรา แต่หากเนื้อหาของคอนเทนต์ใดก็ตามที่เรียบง่ายเกินไป ไวเกินไป หรือสมบูรณ์แบบเกินไปอาจเป็นสัญญาณของ AI Slop ที่ถูกสร้างขึ้นอย่างรวดเร็วและเน้นปริมาณก็ได้.[ ] ให้ความสำคัญกับ ‘ความสร้างสรรค์’ ของมนุษย์.ทางออกที่ทรงพลังที่สุดในการรับมือกับ AI Slop คือตัวผู้เสพคอนเทนต์ หรือผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตต้องให้ความสำคัญกับ ‘ความสร้างสรรค์ที่สร้างโดยมนุษย์’ จริงๆ รวมถึงให้คุณค่ากับความพยายามในการบ่มเพาะและฝึกฝนทักษะต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นผลงานศิลปะ หรือผลิตภัณฑ์ใดก็ตาม.ยิ่งไปกว่านั้น กุญแจสำคัญคือต้องให้คุณค่ากับงานสร้างสรรค์ที่ไม่ได้ทำเงิน หรือเน้นปริมาณเพื่อให้ทันเทรนด์ในโลกออนไลน์ เพราะประสบการณ์และการฝึกฝนของคนคนหนึ่งจะสะท้อนถึงความเป็นมนุษย์ผ่านผลงานได้ดีกว่า และสามารถส่งต่อคุณค่าที่ไม่ใช่ตัวเงินได้ดีกว่าด้วย ซึ่งถ้าเราสนับสนุนงานสร้างสรรค์ประเภทนี้ก็จะช่วยให้ผู้สร้างคอนเทนต์มีกำลังใจในการผลิตเนื้อหาที่มีคุณภาพสู่โลกอินเทอร์เน็ตมากขึ้น..Enshittification และ AI Slop เป็นสัญญาณเตือนว่าโลกกำลังหมุนตามแรงขับเคลื่อนของเงินทุนและกระแสใหม่ ๆ อย่างไม่หยุดยั้ง ซึ่งบ่อนทำลายคุณภาพของอินเทอร์เน็ตที่เรารู้จัก.แต่ถึงแม้โลกดิจิทัลจะเปลี่ยนไปจนแทบจะ 'กลับตาลปัตร' เรายังคงมีอำนาจในการเลือกที่จะเสพและสนับสนุนคอนเทนต์อย่างมีวิจารณญาณ และเลือกที่จะเป็นผู้สร้างสรรค์ที่ใช้เวลา ความรู้สึก และความจริงใจในการผลิตงานที่มีคุณภาพ.การยืนหยัดว่าคุณค่าของมนุษย์ไม่ได้ถูกกำหนดด้วยอัลกอริทึม คือการต่อสู้ที่เรียบง่ายแต่ทรงพลังที่สุด ในการทวงคืนความสุขของการสร้างสรรค์ และเอาชนะอิทธิพลของ AI Slop ที่กำลังครอบงำโลกของเราอยู่ในปัจจุบัน..อ้างอิง- How Much Worse Could the Internet Get?: Jacob Bacharach, The New Republic - bit.ly/48iZKpp- How to escape the AI era of internet enshittification: ItsCocobee, Medium - bit.ly/48tAbAB..#enshittification#AISlop#trend#missiontothemoon#missiontothemoonpodcast
2 days ago | [YT] | 41
View 1 reply
Innergy Planner 2026 สำหรับช่องทางออนไลน์หมดแล้วทุกสี ท่านที่ต้องการสามารถหาซื้อได้ที่ Kinokuniya และ B2S!.ตอนนี้ Mission To The Moon Innergy Planner 2025 ในช่องทางออนไลน์ Sold Out แล้วทุกสี แต่ใครที่ซื้อไม่ทันก็ยังมีสิทธิ์ลุ้น! .สำหรับลูกค้าที่กดสั่งซื้อ Innergy Planner 2025 ในช่องทางออนไลน์ของ Mission To The Moon ไม่ทันสามารถซื้อได้ที่หน้าร้านหนังสือ Kinokuniya ทุกสาขา (พารากอน เซ็นทรัลเวิร์ล และเอ็มควอเทียร์) และร้านหนังสือ B2S ในห้างสรรพสินค้าชั้นนำทั่วไป.🛒 B2S สาขาที่วางขาย Mission To The Moon Younique Planner 2025 (มีขายเพียงสี Noble Navy, Mellow Mint, และ Youthful Yellow เท่านั้น).[ ] Westgate[ ] Central Festival East Ville[ ] Central Rama 3[ ] Central Rama 2[ ] Central Pinklao[ ] Central Ladprao[ ] Mega Bangna[ ] Central World Plaza[ ] Central RAMA9[ ] Major Ratchayothin[ ] Central Chidlom[ ] Central SALAYA[ ] Central Pattaya[ ] Tesco Lotus Khon Kaen[ ] Central Chiangmai[ ] Central HADYAI[ ] Central Phuket*สามารถตรวจสอบจำนวนและสีเล่มแพลนเนอร์กับทางหน้าสาขาได้โดยตรง.Mission To The Moon ขอขอบคุณทุกการสนับสนุน คำแนะนำเพื่อพัฒนาต่อไปในอนาคต และกำลังใจจากทุกคน ..#planner2025#youniqueplanner2025#missiontothemoon#missiontothemoonpodcast
2 days ago | [YT] | 11
“เพิ่งอ่านหนังสือเล่มหนึ่งเขาบอกว่า ถ้าคนเรามีกิจกรรมอย่างหนึ่งที่จะช่วยเรื่องความเครียดหรือสุขภาพจิตได้เยอะเหมือนกัน ซึ่งนั่นก็คือ ‘กิจกรรมที่ทำด้วยมือ’”.“มนุษย์เราถูกออกแบบมาให้มี ‘มือ’ กับ ‘ตา’ ที่ประสานกัน เป็นระบบที่มหัศจรรย์มาก ถ้าต้องทำให้หุ่นยนต์ทำงานประสานคู่ไปกับการมองเห็นนี่ถือเป็นระบบโปรแกรมมิงที่ยากมาก เพราะมันคือการประมวลผลที่ซับซ้อน เพราะฉะนั้นอะไรก็ตามที่ต้องใช้ตากับมือไปพร้อมๆ กันก็จะเป็นการฝึกสมองที่ดีมาก”.“นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมคนยังชอบเขียนหรือจดด้วยมือ หรือใช้สมุดที่เป็นกระดาษจริงๆ อยู่ เพราะมันช่วยให้เราคิดออกได้มากกว่าการพิมพ์”.“ในยุคที่เราถูกดึงด้วยอะไรต่างๆ นานามากมาย จนทำให้ ‘สมาธิ’ หาได้ยากเหลือเกิน มันทำให้สมาธิกลายเป็นของที่มีค่า ความสามารถในการโฟกัสอะไรบางอย่างก็เป็นของที่มีค่า”.“พอเราตั้งใจทำอะไรสักอย่างที่สนุก ทำแล้วมีความสุขก็จะทำให้เราโฟกัสกับสิ่งนั้นได้นานพอสมควร เพราะเราจะรู้สึกอยากตั้งใจที่จะทำมัน”.การพักผ่อนที่แท้จริงเป็นแบบไหน?.“จริงๆ ความรู้สึกเวลาไม่คาดหวังอะไร หรืองานที่เราทำโดยไม่ต้องคาดหวังอะไร ก้ำกึ่งมากในตอนทำเพราะไม่รู้ว่าสิ่งนี้เรียกว่างานหรือเปล่า เพราะเราไม่ได้คาดหวังอะไรกับมันและเราสนุกที่จะได้ทำ ผมว่าเป็นการพักผ่อน”.“คิดว่าทุกอย่างถือเป็นการพักผ่อนได้หมด ตราบใดที่เราไม่ได้เอาจริงเอาจังกับมัน มีการพักผ่อนหลายรูปแบบมาก เช่น การอ่านหนังสือ การวาดรูป การนอนเล่น การดูฟุตบอล การออกไปเดินเล่นในสนามหญ้า”.“การไถมือถือก็อาจจะนับว่าพักผ่อนได้ เพราะเราไถเพลินๆ แต่ถ้าเล่นไปสักพักเราจะรู้สึกว่าเราถูกกระตุ้นมากเกินไป อาจจะอิจฉาคนอื่น อาจจะรู้สึกว่าตัวเองยังไม่เก่งพออยู่เรื่อยๆ”.งานอดิเรกที่ทำแล้วช่วยเสริมทักษะอื่นๆ?.“วิศวกรญี่ปุ่นคนหนึ่งมีงานอดิเรกคือการดูนก ซึ่งรถไฟในญี่ปุ่นก่อนหน้านี้จะเป็นรุ่นที่มีแรงเสียดทานสูง ตอนวิ่งก็จะดังแล้วก็เปลืองพลังงาน ระหว่างที่เขาคิดดีไซน์ใหม่ของรถไฟความเร็วสูงอยู่นั้นก็เปิดรูปนกดูไปเรื่อยๆ”.“แล้วเขาเปิดไปเจอรูปของ ‘นกกระเต็น’ ที่ดิ่งหัวลงไปในน้ำโดยที่น้ำไม่กระเด็นเลย เขาเลยคิดขึ้นมาว่า ‘รูปร่างหัวของนกกระเต็นอาจจะเป็นรูปร่างที่ช่วยลดแรงเสียดทาน?’ เขาเลยทำการทดลองกับการออกแบบรถไฟความเร็วสูง สุดท้ายก็กลายเป็น ‘ชินคันเซ็น’ ที่เรารู้จักกัน”.“บางทีวาดรูปเล่นก็ทำให้เราคิดบทความออก หรือบางทีการอยู่ในสภาวะที่ผ่อนคลายก็ทำให้เราเกิดไอเดียบางอย่างขึ้นมา”.“การที่เรามีงานอดิเรก หรือมีกิจกรรมพักผ่อนไม่ได้แปลว่าเราต้องปรับใช้ทักษะจากงานอดิเรกกับงานหลักของเราโดยตรงเสมอไป แต่ก็ไม่ใช่ว่ามันจะไม่สนับสนุนหรือสอดคล้องกับงานหลักเลย”.“เราสามารถกันเวลาให้กับเรื่องไร้สาระในแต่ละวันให้ตัวเองได้มีความสุขไปกับเรื่องบ้าๆ บอๆ หรือทำอะไรก็ได้ ขี้เกียจได้ เละๆ เทะๆ ก็ได้นะ”..บทสนทนาระหว่าง ‘แทป รวิศ หาญอุตสาหะ’ กับ ‘เอ๋ สราวุธ เฮ้งสวัสดิ์’ หรือ ‘นิ้วกลม’ ใน แอปเท๋ Dinner Talk EP.25 | ‘พักผ่อนให้เป็น’ เรื่องง่ายๆ ที่นักธุรกิจส่วนใหญ่มองข้าม! ที่จะชวนทุกคนมาหยุดพักเพื่อฟื้นฟูตัวเองกันอย่างแท้จริง.สามารถรับชม ‘พักผ่อนให้เป็น’ เรื่องง่ายๆ ที่นักธุรกิจส่วนใหญ่มองข้าม! | แอปเท๋ Dinner Talk EP.25 ฉบับเต็มได้ที่: https://youtu.be/1ST-j8Kf6vY..#ธุรกิจ#แรงบันดาลใจ#selfdevelopment#แอปเท๋dinnertalk#missiontothemoonpodcast
3 days ago | [YT] | 92
4 days ago | [YT] | 129
View 12 replies
"เลือกจากความชัดเจน ไม่ใช่ความเจ็บปวด" ทำไมการตัดสินใจตอน "เจ็บ" มักพาเราไปผิดทาง?.มีความจริงข้อหนึ่งที่หลายคนใช้เวลาหลายปีกว่าจะยอมรับได้ นั่นคือ ชีวิตมักจะเจ็บปวดเสมอไม่ว่าจะเลือกทางไหน[ ] ขี้เกียจออกกำลังกาย ก็เจ็บเพราะสุขภาพพัง แต่ถ้าลากตัวไปยิม ก็เจ็บเพราะต้องฝืนใจ [ ] อยู่คนเดียว ก็เจ็บเพราะเหงา มีความสัมพันธ์ ก็เจ็บเพราะต้องเปิดใจและทำงานทางอารมณ์ [ ] นอนดูซีรีส์ทั้งวัน ก็เจ็บเพราะรู้สึกว่างเปล่า แต่พอลุกขึ้นมาทำงาน ก็เจ็บเพราะเหนื่อย.ดังนั้น เราจึงสามารถเห็นธรรมชาติของอารมณ์ได้ว่าไม่มีทางเลือกไหนที่ไม่เจ็บ มีแค่ให้เลือกว่าจะเจ็บแบบไหน แต่ปัญหาคือ คนส่วนใหญ่มักตัดสินใจตอนที่กำลังเจ็บอยู่ และนั่นคือจุดที่ทำให้เราเลือกผิดทางซ้ำแล้วซ้ำเล่า..เมื่อสมองถูก "ยึดครอง" โดยอารมณ์.Daniel Goleman นักจิตวิทยาผู้เขียนหนังสือ Emotional Intelligence (1995) เรียกปรากฏการณ์นี้ว่า "Amygdala Hijack" หรือการที่สมองส่วนอารมณ์ "ยึดครอง" สมองส่วนคิดวิเคราะห์.Amygdala คือชื่อส่วนของสมองที่ทำหน้าที่ประมวลผลอารมณ์และตอบสนองต่อภัยคุกคาม เมื่อเรารู้สึกเจ็บ เหงา กลัว หรือถูกคุกคาม Amygdala จะทำงานเร็วกว่าสมองส่วน Prefrontal Cortex ซึ่งเป็นส่วนที่ควบคุมการคิดอย่างมีเหตุผลและการตัดสินใจ.ผลลัพธ์คือ เราตอบสนองโดยไม่ได้คิด เพราะสมองส่วนอารมณ์ "ยึดครอง" สมองส่วนคิดไปก่อนที่เราจะทันได้ใช้เหตุผล นี่คือเหตุผลว่าทำไมหลายคนถึงตัดสินใจบางอย่างแล้วมานึกหรือเสียใจทีหลังว่า "เพราะอะไร ถึงตัดสินใจไปแบบนั้นนะ / ตอนนั้นเราคิดอะไรอยู่?"..Pain หรือความเจ็บปวดทำให้เราเห็นโลกบิดเบี้ยว.งานวิจัยของ Mara Mather จาก University of Southern California ที่ตีพิมพ์ใน Current Directions in Psychological Science (2012) พบว่าเมื่อคนเราอยู่ภายใต้ความเครียด สมองจะโฟกัสไปที่ข้อดีของตัวเลือกมากขึ้น และมองข้ามข้อเสียไปอย่างน่าตกใจ.พูดง่ายๆ คือ ตอนที่เราเครียดหรือเจ็บ เราจะมองคนหรือสิ่งที่อยู่ตรงหน้าดีกว่าความเป็นจริงเสมอ เพราะสมองอยากหาทางออกจากความเจ็บปวดโดยเร็วที่สุด.ซึ่งงานวิจัยนี้สามารถอธิบายได้ว่าทำไมคนที่เหงามากๆ ถึงมักเลือกคนที่ "อยู่ใกล้ที่สุดตอนนั้น" แทนที่จะเลือกคนที่ "ใช่จริงๆ" หรือทำไมคนที่เครียดกับงานถึงรีบกระโดดไปงานใหม่ ทั้งที่ยังไม่ได้คิดให้รอบคอบว่างานนั้นเป็นงานที่ใช่แล้วหรือยัง.ความเจ็บปวดทำให้เรามองเห็นตัวเองต่ำกว่าความเป็นจริง มองคนอื่นดีกว่าความเป็นจริง รีบคว้าอะไรก็ได้เพื่อปิดรูโหว่ในใจ และเลือกสิ่งที่ทำให้ปัจจุบันหายเจ็บ แทนที่จะเลือกสิ่งที่ทำให้อนาคตดีขึ้น.ปรากฏการณ์นี้แทบไม่ต่างจากการไปซื้อของตอนหิวจัด สุดท้ายก็หอบขนมกลับมาเต็มถุง ทั้งที่ตั้งใจจะซื้อแค่ไม่กี่อย่างเท่านั้น สุดท้ายก็ทำให้หลายๆ คนต้องมานึกเสียดายกับการตัดสินใจในภายหลัง..Pain vs. Choice ต่างกันยังไง?.ลองนึกภาพคนที่เพิ่งเลิกกับแฟนแล้วรู้สึกเหงามากๆ กับคนที่ใช้ชีวิตอยู่ดีๆ แล้วเจอคนที่น่าสนใจ ทั้งสองคนอาจตัดสินใจเริ่มความสัมพันธ์ใหม่เหมือนกัน แต่ "แรงจูงใจ" ที่อยู่เบื้องหลังต่างกันโดยสิ้นเชิง.คนแรกเลือกเพราะอยากหนีจากความเจ็บปวด คนที่สองเลือกเพราะเห็นว่าคนนี้เข้ากับชีวิตที่ตัวเองอยากมี นี่คือความแตกต่างระหว่าง Pain กับ Choice.การตัดสินใจจาก Pain หรือความเจ็บปวด เป็นการตัดสินใจที่เกิดจากความกลัว ความเหงา หรือความต้องการหนีจากความรู้สึกแย่ๆ ตรงหน้า เป้าหมายหลักคือ "ทำให้หายเจ็บตอนนี้" ไม่ใช่ "ทำให้ชีวิตดีขึ้นในระยะยาว" ผลลัพธ์จึงมักเป็นการ "คว้า" อะไรก็ได้ที่อยู่ใกล้มือ โดยไม่ได้ประเมินว่าสิ่งนั้นเหมาะกับเราจริงหรือไม่.ส่วนการตัดสินใจจาก Choice หรือตัวเลือก เป็นการตัดสินใจที่เกิดจากความชัดเจน ความสงบ และความตั้งใจจริง เป้าหมายคือ "สิ่งที่สอดคล้องกับชีวิตที่เราอยากมี" ไม่ใช่แค่สิ่งที่ทำให้รู้สึกดีขึ้นชั่วคราว ผลลัพธ์คือการ "เลือก" อย่างมีสติ โดยประเมินทั้งข้อดีและข้อเสีย ทั้งปัจจุบันและอนาคต.คำถามสำคัญที่ช่วยแยกแยะคือ "ถ้าตอนนี้ไม่ได้เจ็บ ไม่ได้กลัว ไม่ได้เหงา ฉันจะยังเลือกเหมือนเดิมไหม?"ถ้าคำตอบคือ "ใช่" นั่นคือ Choiceถ้าคำตอบคือ "ไม่แน่ใจ" นั่นคือสัญญาณว่า Pain กำลังตัดสินใจแทนเรา..รอให้อารมณ์ผ่านไป แล้วค่อยตัดสินใจด้วย ‘กฎ 90 วินาที’.ถ้าเราตัดสินใจตอนที่อารมณ์กำลังพุ่งสูง ผลลัพธ์มักจะไม่ดี แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าตอนไหนควรรอ ตอนไหนพร้อมเลือก?.Dr. Jill Bolte Taylor นักประสาทวิทยาจาก Harvard และผู้เขียนหนังสือ My Stroke of Insight เสนอแนวคิดที่เรียกว่า "กฎ 90 วินาที" ที่ช่วยให้เราแยกแยะระหว่างอารมณ์ที่เกิดขึ้นจริงกับอารมณ์ที่เราเลือกจะอยู่กับมันต่อได้ดีขึ้น.เธออธิบายว่าเมื่อเราถูกกระตุ้นทางอารมณ์ สมองจะหลั่งสารเคมีที่ทำให้เราอยู่ในโหมด "สู้หรือหนี" (Fight or Flight) แต่นี่คือจุดสำคัญ สารเคมีเหล่านี้จะถูกขับออกจากร่างกายภายในเวลาประมาณ 90 วินาทีเท่านั้น.นั่นหมายความว่า "คลื่นอารมณ์" ที่ถาโถมเข้ามานั้น จริงๆ แล้วมีอายุสั้นมาก ถ้าเราปล่อยให้มันผ่านไปโดยไม่ตอบสนอง มันจะค่อยๆ จางหายไปเอง..แล้วทำไมอารมณ์ถึงอยู่นานกว่านั้น?.Dr. Taylor ชี้ว่าหากหลังจาก 90 วินาทีผ่านไปแล้ว เรายังคงรู้สึกโกรธ กลัว หรือเจ็บปวดอยู่ นั่นไม่ใช่เพราะสารเคมีในร่างกายอีกต่อไป แต่เป็นเพราะเรา "เลือก" ที่จะอยู่ในวงจรอารมณ์นั้นต่อ.เราเลือกโดยการคิดถึงเรื่องเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า เล่าเรื่องเดิมในหัวไม่หยุด ซึ่งทุกครั้งที่คิด สมองก็จะหลั่งสารเคมีชุดใหม่ออกมาอีก วนเป็นลูปไม่รู้จบ พูดง่ายๆ คือ 90 วินาทีแรกเป็นปฏิกิริยาอัตโนมัติของร่างกาย แต่หลังจากนั้นเป็น "ทางเลือก" ของเรา.เมื่อรู้สึกถูกกระตุ้นทางอารมณ์อย่างรุนแรง ไม่ว่าจะเป็นความโกรธ ความเจ็บ หรือความกลัว ให้ลองทำตามขั้นตอนนี้.[ ] ขั้นแรก หยุดก่อน อย่าตอบสนองทันที ถ้าเป็นไปได้ ให้มองนาฬิกาหรือจับเวลา 90 วินาที.[ ] ขั้นที่สอง หายใจลึกๆ โฟกัสที่ลมหายใจ สังเกตว่าร่างกายรู้สึกอย่างไร หัวใจเต้นเร็วขึ้นไหม ไหล่เกร็งไหม มือสั่นไหม.[ ] ขั้นที่สาม ปล่อยให้คลื่นผ่านไป อย่าพยายามกดอารมณ์ แต่ก็อย่าเติมเชื้อไฟด้วยการคิดวนซ้ำ แค่สังเกตมันเหมือนดูคลื่นในทะเลที่ซัดเข้ามาแล้วก็ถอยออกไป.[ ] ขั้นสุดท้าย เมื่อ 90 วินาทีผ่านไป ค่อยถามตัวเองว่า "ตอนนี้ฉันพร้อมตัดสินใจด้วยความชัดเจนหรือยัง?" ถ้ายังไม่พร้อม ก็รอต่อได้ ไม่มีใครบังคับให้ต้องรีบ.เพราะการตัดสินใจที่ดีที่สุดมักไม่ได้เกิดขึ้นในช่วง 90 วินาทีแรกที่อารมณ์พุ่งสูง การที่เราให้เวลาตัวเองแค่ 90 วินาที อาจเป็นความแตกต่างระหว่างการพูดอะไรบางอย่างที่ต้องมานั่งเสียใจทีหลัง กับการตอบสนองอย่างมีสติที่เราภูมิใจได้.ดังนั้น 90 วินาทีนี้ แม้จะเป็นช่วงเวลาที่ไม่นาน แต่มันอาจเปลี่ยนทิศทางของการตัดสินใจครั้งสำคัญได้ทั้งหมด.[ ] ลองใช้หลักนี้กับความรัก ก่อนจะให้ใจใคร ลองถามตัวเองตรงๆ ว่า"ฉันชอบเขา หรือฉันแค่ไม่อยากอยู่คนเดียว?""ฉันอยากให้เขาเข้ามา หรืออยากให้ความเหงาหายไป?""ฉันเลือกเขาเพราะเขาดีจริง หรือเพราะเขาอยู่ใกล้ที่สุดตอนนี้?"ถ้าคำตอบคือข้อหลัง นั่นคือสัญญาณว่าเรากำลังเลือกจาก Pain ไม่ใช่ Choice.[ ] ลองใช้กับงานและโอกาสงานที่ดีคืองานที่ "ใช่" ในระยะยาว ไม่ใช่งานที่แค่ช่วยให้เราหนีจากเจ้านายเดิม หนีความเบื่อ หรือหนีปัญหาที่ยังไม่ได้แก้Choice จะถามว่า "งานนี้พาเราไปชีวิตที่อยากมีไหม?"Pain จะถามแค่ว่า "งานนี้ทำให้หายเครียดตอนนี้ไหม?"..เพราะความจริงที่หลายๆ คนยังนึกไม่ถึงก็คือ เป็นเรื่องปกติที่ชีวิตจะต้องพบกับความเจ็บปวด ไม่ว่าจะเลือกทางไหน แต่ถ้าต้องเจ็บก็ควรเลือกความเจ็บที่คุ้มค่า และที่สำคัญกว่านั้น คืออย่าเลือกตอนที่ใจกำลังเจ็บ.การตัดสินใจที่ดี ต้องเกิดตอนที่ใจเรานิ่งพอจะเห็นความจริงและเลือกจากความตัวเลือกที่ชัดเจน ไม่ใช่เลือกเพราะหลีกหนีจากความเจ็บปวด..อ้างอิง- Amygdala Hijack: When Emotion Takes Over: Kimberly Holland, Healthline - bit.ly/4pMie7C- Choose Your Pain: Life Hurts Anyway, So Pick the One That Builds You: Aishwarya, Medium - bit.ly/48JivlQ..#Life#MentalHealth#EmotionalIntelligence#MissionToTheMoon#MissionToTheMoonPodcast
5 days ago | [YT] | 221
View 3 replies
“เราทุกคนมีเวลา 24 ชั่วโมงเท่ากัน” .ประโยคติดหูที่ทุกคนต้องเคยได้ยินแน่นอน เมื่อใดก็ตามที่เรากำลังพูดถึงหัวข้อของการบริหารเวลา.ปัญหาของการบริหารจัดการเวลานั้น เป็นปัญหาที่ไม่ว่าจะผ่านมากี่ยุคกี่สมัย ก็สร้างความปวดหัวให้กับเหล่าคนทำงานทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็นคนทำงานอิสระ เด็กจบใหม่ หรือพนักงานระดับ Middle Management .อย่างไรก็ตาม ในหมวดหมู่ของคนทำงาน บุคคลที่ทุกคนน่าจะมีความเห็นตรงกันว่ายุ่งที่สุดก็คือ “CEO” โดยเฉพาะ CEO ระดับโลกที่ต้องเผชิญกับความท้าทายที่ซับซ้อนตลอดทั้งวัน ประชุมต่อเนื่องตั้งแต่เช้าจรดเย็น อีเมลที่ไหลเข้ามาไม่หยุด และการตัดสินใจที่มีผลกระทบต่อธุรกิจมูลค่าหลายพันล้าน ซึ่งทั้งหมดนี้ต้องเกิดขึ้นภายในวันเดียวกัน.แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ CEO ระดับโลกเหล่านี้ก็มีเวลาเพียง 24 ชั่วโมงเหมือนกับคนทั่วไป แค่เรื่องงานก็ยุ่งจะแย่แล้วยังต้องแบ่งเวลาไปให้ครอบครัวอีก ดังนั้นจึงพอจะพูดได้ว่าความแตกต่างระหว่าง CEO เหล่านี้กับคนทั่วไปไม่ได้อยู่ที่ปริมาณของเวลาที่มี แต่อยู่ที่วิธีการใช้เวลานั้นอย่างมีสติและเป็นระบบอีกด้วย .ซึ่งนำมาสู่คำถามว่า แล้ว CEO ระดับโลกเหล่านี้เขาบริหารจัดการตารางชีวิตอย่างไร?.ดังนั้น ลองไปรู้จักเครื่องมือบริหารเวลาที่ CEO ระดับโลกเลือกใช้จริงกันดีกว่า..Time Blocking : แบ่งเวลาทำงานให้ชัดเจน.Time Bloicking คือเทคนิคที่ Bill Gates และ Elon Musk ใช้อย่างจริงจังคือการแบ่งวันออกเป็นช่วงเวลาขนาด 5-15 นาที แต่ละช่วงมีภารกิจเฉพาะที่วางแผนไว้ล่วงหน้า ไม่ใช่แค่การจดตารางนัดหมาย แต่คือการออกแบบวันทั้งวันเป็นบล็อก.เมื่อตั้งบล็อกเวลาไว้สำหรับงานไหน ก็ทำเฉพาะงานนั้น ไม่เช็กอีเมล ไม่รับโทรศัพท์ที่ไม่จำเป็น การควบคุมวันแบบนี้ทำให้ CEO เหล่านี้สามารถจัดการงานซับซ้อนหลายโปรเจกต์พร้อมกัน โดยไม่รู้สึกท่วมท้นหรือ Burnout ไปเสียก่อน.Marc Andreessen ผู้ร่วมก่อตั้ง Netscape เคยบอกว่าเขาวางแผนปฏิทินล่วงหน้าเป็นเดือน และแทบไม่มีช่องว่างเลยในแต่ละวัน เพราะถ้าไม่กำหนดเวลาเอาไว้ งานก็จะไหลเข้ามาเองโดยไม่มีทิศทาง..Eat That Frog : เริ่มวันด้วยงานที่ยากที่สุด.Brian Tracy ผู้เขียนหนังสือขายดีเล่มนี้ยกคำพูดของ Mark Twain มาใช้ว่า "ถ้าคุณต้องกินกบ ให้ทำตอนเช้าเป็นอันดับแรก แล้วไม่มีอะไรแย่ไปกว่านั้นอีกตลอดทั้งวัน" หลักการง่ายๆ คือเริ่มวันด้วยงานที่ท้าทายที่สุด ยากที่สุด หรือสำคัญที่สุด ก่อนที่จะทำอย่างอื่น.Anna Wintour บรรณาธิการตำนานของ Vogue เล่าว่าเธอตื่นเช้าตีห้าเพื่อออกกำลังกายและวางแผนวัน จากนั้นจะเข้าออฟฟิศตั้งแต่หกโมงเช้าเพื่อจัดการงานสำคัญที่ต้องใช้สมองสูง เช่น การตัดสินใจเกี่ยวกับปกนิตยสาร หรือการอนุมัติเนื้อหาสำคัญ ตอนนั้นสมองยังสดชื่น ไม่มีใครรบกวน และเต็มไปด้วยพลังงาน.Tim Cook CEO ของ Apple ก็เป็นอีกคนที่มีนิสัยคล้ายกัน เขาเริ่มส่งอีเมลให้ทีมตั้งแต่ตีสี่ครึ่ง และมักจะอยู่คนแรกในออฟฟิศ เพื่อใช้เวลาช่วงเช้าที่เงียบสงบนี้ทำงานที่ต้องการสมาธิสูง ก่อนที่วันจะเริ่มเต็มไปด้วยประชุมและเรื่องเร่งด่วนต่างๆ.เทคนิคนี้ไม่ได้หมายความว่าต้องตื่นตีสี่ แต่คือการหาช่วงเวลาที่สมองคุณทำงานได้ดีที่สุด แล้วเก็บเอาไว้สำหรับงานที่สำคัญที่สุด เมื่อ "กบ" ตัวใหญ่ที่สุดถูกจัดการไปแล้ว สิ่งที่เหลือในวันก็รู้สึกเบาลงทันที..The Two-Minute Rule : งานไหนทำเสร็จได้ภายใน 2 นาทีให้ทำเลย.David Allen ผู้เขียนหนังสือ "Getting Things Done" เคยบอกว่าถ้างานไหนทำเสร็จภายในสองนาที ก็ทำเลย อย่ารอ อย่าเก็บไว้ในลิสต์ อย่าตั้งเวลาเพื่อกลับมาทำทีหลัง.Reid Hoffman ผู้ร่วมก่อตั้ง LinkedIn เคยพูดถึงความสำคัญของการตัดสินใจเร็วในเรื่องเล็กๆ เพื่อประหยัดพลังสมองสำหรับเรื่องใหญ่ๆ ที่สำคัญจริงๆ กฎสองนาทีช่วยให้เขาไม่ต้องเสียพลังงานมาคิดซ้ำๆ กับงานเดิมๆ ที่จริงแล้วแค่ทำไปเลยก็เสร็จ.อย่างไรก็ตาม เครื่องมือบริหารเวลาเหล่านี้ไม่ใช่สูตรวิเศษที่จะเปลี่ยนวันของคุณในชั่วข้ามคืน แต่คือระบบที่ถ้าฝึกฝนจนเป็นนิสัย จะช่วยให้คุณควบคุมเวลาได้มากขึ้น แทนที่จะปล่อยให้เวลาควบคุมคุณ .ดังนั้น ถ้าหากใครอยากรู้เทคนิคในการบริหารเวลาและจัดการชีวิตให้ตรงกับความต้องการของตัวเองอย่างแท้จริงแล้วละก็ห้ามพลาด!.🚀คอร์ส Level-Up Your Work-Life ทำงานให้ Pro เพื่อชีวิตที่ Flow เปิดให้เรียนออนไลน์ย้อนหลังตลอดชีพ! สอนโดย 2 วิทยากรชั้นนำของประเทศไทย.1. รวิศ หาญอุตสาหะ CEO, Srichand & Mission To The Moon Media2. ผศ.ดร. กฤตินี เพิ่มทรัพย์ เจ้าของเพจ "เกตุวดี Marumura" อาจารย์ด้านการตลาด ผู้มีประสบการณ์สอนในมหาวิทยาลัย 10+ ปี .ตั้งแต่ระบบการทำงานที่ “ทำน้อยแต่ได้มาก” ในแบบฉบับของคุณเอง ควบคู่ไปกับการสร้าง Personal Vision อย่างเป็นระบบ การจัดการพลังงานแบบยั่งยืน การออกแบบเป้าหมายที่ "ทำได้จริง" ไปจนถึงการสร้างระบบติดตามที่ทำให้คุณไม่หลุดทางกลางคัน .หากใครก็ตามที่ต้องการจะหลุดออกจากรูทีนซ้ำๆ เดิมๆ อยากมีเป้าหมายชัดเจนแต่ยังไม่รู้จะเริ่มต้นยังไงให้มันเกิดขึ้นได้จริง ภายในหลักสูตรนี้ คุณจะได้เรียนรู้ทุกขั้นตอนของการออกแบบชีวิตที่มี Impact ห้ามพลาดเด็ดขาด!.🔥ราคาคอร์ส Recording Session💰 ราคา 3,200 บาท (จ่ายครั้งเดียวเรียนได้ตลอดชีพ)📅เปิดรับสมัครวันที่ 11 ธันวาคม 2568 เป็นต้นไป📹เริ่มเรียนย้อนหลังได้ตั้งแต่วันที่ 22 ธันวาคม 2568 เป็นต้นไป❤️🔥เมื่อสมัครภายใน 11-15 ธันวาคม 2568 รับส่วนลดพิเศษ 300.- ทันที (เหลือ 2,900 บาท จาก 3,200 บาท).📌สำหรับใครที่กลัวพลาด ลงทะเบียนกรอกข้อมูลเพื่อแสดงความสนใจเอาไว้ก่อนได้ที่ forms.gle/5FumyCp2BvsDGkCK7 แล้วเมื่อเปิดให้ซื้อคอร์สได้เมื่อไร ทีมงานจะติดต่อไปทันที! .สอบถามเพิ่มเติม LINE OA: @missiontothemoon..#LevelUpYourWorklife#Productivity#Life#Work#missionacademy
5 days ago | [YT] | 39
Load more
Mission To The Moon
“มันจะไอ้นั่นไง…แบบ…ไอ้นั่นอะ”
.
เคยตกอยู่ในสถานการณ์ที่สมองตื้อ หยุดทำงานไปเฉยๆ หรืออยู่ๆ ก็นึกคำไม่ออก ทั้งที่เป็นคำง่ายๆ ในชีวิตประจำวันที่เราคุ้นเคยกันหรือเปล่า?
.
ถ้าไม่เคยเป็น อย่างน้อยก็ในชีวิตของเราก็จะต้องมีเพื่อน ครอบครัว หรือใครสักคนที่มีนิสัยติดพูดคลุมเครือ พูดกำกวม หรือไม่ก็พูดไม่รู้เรื่องอยู่รอบตัวสักคนหนึ่ง
.
นิสัยที่อาจสร้างความรำคาญใจให้กับผู้ฟัง หรือในบางครั้งก็เพิ่ม ‘ความมั่นใจ’ ในการสื่อสารให้กับตัวผู้พูดเองนี้เรียกว่าสภาวะ Tip of the Tongue (TOT) หรือ Lethologica ซึ่งเป็นกระบวนการทางสมองที่ซับซ้อน แต่ถ้าสังเกตคนรอบตัว หรือแม้แต่ผู้ใหญ่ในบางคนก็จะพบว่าสภาวะนี้เกิดขึ้นได้ง่ายกว่าที่คิด
.
.
สภาวะ Tip of the Tongue คืออะไร?
.
โดยปกติแล้ว สมองของเราจะเรียกคำต่างๆ จากคลังคำหรือคลังความรู้ขนาดใหญ่ได้อย่างราบรื่น จับคู่ความหมายและเสียงของคำต่างๆ และนำมาเรียงเป็นประโยค แต่ในขณะที่เกิดสภาวะ Tip of the Tongue กระบวนการเรียกคืนนี้จะติดขัด สับสน และมีความรู้สึกว่าคลับคล้ายคลับคลา หรือพอจะคุ้นๆ กับคำนั้นได้ แต่กลับนึกไม่ออกว่าเป็นคำว่าอะไร กลายเป็นสภาวะที่เรียกว่า ‘Tip of the Tongue’
.
สภาวะ Tip of the Tongue (TOT) หรือ Lethologica หมายถึง การที่เราไม่สามารถนึกชื่อของครูประจำชั้นวัยประถม หรือนึกถึง ‘คำ’ ที่มีความหมายเฉพาะเจาะจงกับสถานการณ์นั้นๆ แม้ว่าเราจะรู้จักคำนั้นดีและพยายามนึกถึง แต่กลายเป็นว่านึกไม่ออก
.
กระบวนการนี้เป็นปรากฏการณ์อันซับซ้อนที่เกิดขึ้นกับสมองของคนก็จริง แต่ในหลายๆ ครั้งเรากลับพบว่าเหตุการณ์ที่คล้ายกันนี้เกิดขึ้นได้บ่อยครั้ง ไม่ว่าจะกับคนรอบตัวเรา หรือแม้แต่เราเอง เวลาที่เราคิดอะไรบางอย่าง สมองจะกำหนดคำซึ่งสอดคล้องกับความหมายที่เราจะสื่อ และเราก็พูดสิ่งที่อยู่ในหัวออกมา
.
แต่เมื่อเกิดสภาวะ Tip of the Tongue หรือ Lethologica ขึ้น คำเหล่านั้นก็จะหายไปทันที แม้ว่ากระบวนการนี้จะยังไม่มีงานวิจัยมาอธิบายกลไกทางสมองที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจน แต่ผู้เชี่ยวชาญหลายคนก็หยิบยกทฤษฎีที่น่าสนใจ เช่น
.
[ ] สภาวะ Tip of the Tongue มีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นมากเมื่อผู้คนรู้สึกเหนื่อยล้า
[ ] ยิ่งความทรงจำถูกรบกวน ผู้คนก็จะยิ่งมีแนวโน้มที่จะนึกคำง่ายๆ ไม่ออก
[ ] หากเกิด Tip of the Tongue ซ้ำๆ ในช่วงสอบ หรือวันที่ต้องนำเสนองานสำคัญ แปลว่าเราอาจจะต้องเตรียมตัวและศึกษาข้อมูลที่จะพูดให้มากขึ้น
[ ] สภาวะ Tip of the Tongue อาจเป็นสัญญาณเตือนถึงปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรงยิ่งกว่านั้น เช่น ภาวะสมองเสื่อม เป็นต้น
.
นอกจากนี้ ยังมีข้อเท็จจริงอีกหลายประการที่เราอาจจะยังไม่รู้เกี่ยวกับสภาวะ Tip of the Tongue แต่อาจจะเป็นประโยชน์กับการศึกษาวิจัยในอนาคต เช่น
.
[ ] เป็นปรากฏการณ์สากลที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน ทุกวัฒนธรรมภาษา
[ ] ยิ่งอายุเพิ่มขึ้น ยิ่งประสบสภาวะ Tip of the Tongue ได้มากขึ้น
[ ] ผู้คนมักจะจำข้อมูลบางส่วนของคำได้ เช่น คลับคล้ายคลับคลาพยัญชนะขึ้นต้น หรือบางพยางค์ เป็นต้น
[ ] ‘ชื่อเฉพาะ’ เช่น ชื่อบุคคล หรือชื่อสถานที่ เป็นคำประเภทที่นึกออกได้ยากมากที่สุด
.
นอกจากนี้ คนที่สื่อสารมากกว่า 1 ภาษาก็มักจะมีแนวโน้มประสบกับสภาวะ Tip of the Tongue ได้มากกว่า อาจเป็นเพราะพวกเขารู้มากกว่าหนึ่งคำเพื่ออธิบายถึงสิ่งเดียวกัน
.
แต่ในขณะที่เรารู้สึกเหมือนกับว่าสมองกำลังจะล้มเหลวในการนึก ‘คำบางคำ’ ให้ออก คนที่ประสบกับสภาวะ Tip of the Tongue อาจจะเกิดความรู้สึกรำคาญใจ ทั้งหงุดหงิดที่ไม่สามารถสื่อสารความคิดออกไปได้ อีกทั้งยังกังวลกับปฏิกิริยาของคู่สนทนาที่รอฟังอยู่ด้วย
.
แล้วเราจะแก้ไขหรือจัดการกับสภาวะ Tip of the Tongue อย่างไรดี?
.
.
‘ให้เวลาสักเล็กน้อย’ ก็ลดการเกิดของสภาวะ Tip of the Tongue ได้
.
เมื่อเรารู้สึกว่าคำคำนั้นติดอยู่ที่ปลายลิ้นจริงๆ และทำอย่างไรก็นึกไม่ออกสักที การจัดการกับสภาวะ Tip of the Tongue ที่ดีที่สุดมักจะเป็นสิ่งที่ตรงข้ามกับสัญชาตญาณอย่าง ‘เลิกคิดถึงมันไปก่อน’
.
เพราะในช่วงเวลาที่เราผ่อนคลาย ไม่ได้กดดันตัวเองหรือพยายามในการนึกอย่างเร็วๆ คำคำนั้นมักจะโผล่ขึ้นมาเอง ซึ่งนักวิจัยก็คิดว่าวิธีการผ่อนคลายแบบนี้ช่วยเพิ่มโอกาสให้สมองเรียกคืนความจำได้โดยไม่มีอารมณ์หงุดหงิดและเครียดเข้ามารบกวน
.
หรือหากใครอยากกระตุ้นความทรงจำให้กลับมานึกถึงคำคำนั้นออกได้ไวอีกครั้ง ก็สามารถลองทำตามวิธีต่อไปนี้ได้
.
[ ] สังเกตเบาะแสอื่นๆ ที่ผุดขึ้นมาในหัว ณ เวลานั้น เช่น พยัญชนะขึ้นต้น จำนวนพยางค์ หรือโทนเสียง
[ ] พยายามนึกถึงบริบท สถานที่ หรือบุคคลที่เกี่ยวข้องกับคำคำนั้น
.
.
ดูเป็นวิธีง่ายๆ ที่อาจจะต้องให้เวลากับตัวเอง รวมถึงใช้ความอดทนมากขึ้นอีกเล็กน้อยในการนึกถึงคำที่เราคุ้นเคย แต่อยู่ๆ คำคำนั้นหลุดจากหัวไปจนนึกไม่ออก อย่างไรก็ตาม การพยายามเชื่อมโยงไปยังความทรงจำ ประสบการณ์ หรือข้อมูลอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอาจช่วยกระตุ้นให้เรานึกถึงคำคำนั้นได้ง่ายขึ้น
.
ทั้งนี้ หากรู้สึกว่าการหลงๆ ลืมๆ คำง่ายเริ่มสร้างความเดือดร้อนให้กับชีวิตประขำวันมากขึ้น แนะนำให้ปรึกษาแพทย์เพื่อวินิจฉัยหาสาเหตุที่แน่ชัดต่อไป
.
.
อ้างอิง
- This is what happens in your brain when you can’t recall a word - Cella Wright; TED-Ed - bit.ly/48HaTiq
- Lethologica or Tip-of-the-Tongue Phenomenon; Kendra Cherry, Verywell Mind - bit.ly/4a6u0oM
.
.
#TipoftheTongue
#psychology
#missiontothemoon
#missiontothemoonpodcast
10 hours ago | [YT] | 24
View 0 replies
Mission To The Moon
🚀คอร์ส Level-Up Your Work-Life ทำงานให้ Pro เพื่อชีวิตที่ Flow เปิดให้เรียนออนไลน์ย้อนหลังตลอดชีพ!
📌เมื่อสมัครภายใน 11-15 ธันวาคม 2568 รับส่วนลดทันที 300 บาท (เหลือ 2,900 บาท จาก 3,200 บาท) เพียงกรอกโค้ด “DEC300” บนเว็บไซต์ Mission Academy
.
⭐สามารถดูรายละเอียดและสมัครเรียนได้ที่ : academy.missiontothemoon.co/level-up-your-work-lif…
.
.
ถึงชีวิตที่คุณวางแผนไว้จะยัง "ไม่เป็นดังตั้งใจ" แต่ยังไม่สายเกินไปที่จะเริ่มต้นใหม่
.
หลายคนทำงานวันละ 8-10 ชั่วโมง จมอยู่กับความวุ่นวายและเป้าหมายขององค์กร แต่กลับหาเวลาให้ชีวิตตัวเองไม่ได้ คุณเก่งมากในการจัดการกับ KPI งาน แต่เมื่อถึงเรื่องชีวิตส่วนตัว กลับตัดสินใจไม่ได้ว่าอะไรคือสิ่งที่ต้องการจริงๆ
.
[ ] "เป้าหมายชีวิตของเราคืออะไรกันแน่?"
[ ] "ทำไมวันๆ เราทำงานหนัก แต่ชีวิตดูไม่ไปไหน?"
[ ] "แล้วเราจะมีความสุขกับงานและชีวิตไปพร้อมกันได้อย่างไร?"
.
“Level-Up Your Work-Life ทำงานให้ Pro เพื่อชีวิตที่ Flow” คอร์สที่ถูกออกแบบมาสำหรับคนวัยทำงานทุกคนที่อยากมีชีวิตที่ Meaningful มากขึ้น ให้ทุกคนได้มีเวลาให้ตัวเองจริงๆ ได้ทบทวนตัวเอง และได้รู้จักตัวเองดียิ่งขึ้น สอนโดย 2 วิทยากรชั้นนำของประเทศไทย
.
1. รวิศ หาญอุตสาหะ CEO, Srichand & Mission To The Moon Media
2. ผศ.ดร. กฤตินี เพิ่มทรัพย์ อาจารย์ด้านการตลาด ผู้มีประสบการณ์สอนในมหาวิทยาลัย 10+ ปี เจ้าของเพจ "เกตุวดี Marumura"
.
ตั้งแต่ระบบการทำงานที่ “ทำน้อยแต่ได้มาก” ในแบบฉบับของคุณเอง ควบคู่ไปกับการสร้าง Personal Vision อย่างเป็นระบบ การจัดการพลังงานแบบยั่งยืน การออกแบบเป้าหมายที่ "ทำได้จริง" ไปจนถึงการสร้างระบบติดตามที่ทำให้คุณไม่หลุดทางกลางคัน พบได้ทั้งหมดในคอร์สเรียนออนไลน์ 2 วัน พร้อมรับ Blueprint ส่วนตัวที่นำไปใช้ได้ทันที ภายใต้การถ่ายทอดจากผู้ที่ผ่านการทำงานและใช้ชีวิตมาในหลากหลายสถานการณ์จริง
.
หากใครก็ตามที่ต้องการจะหลุดออกจากรูทีนซ้ำๆ เดิมๆ อยากมีเป้าหมายชัดเจนแต่ยังไม่รู้จะเริ่มต้นยังไงให้มันเกิดขึ้นได้จริง ภายในหลักสูตรนี้ คุณจะได้เรียนรู้ทุกขั้นตอนของการออกแบบชีวิตที่มี Impact ห้ามพลาดเด็ดขาด!
.
🔥 ราคาคอร์ส Recording Session
💰 ราคา 3,200 บาท
📅 ซื้อได้วันที่ 11 ธันวาคม 2568 เป็นต้นไป
📹 เริ่มเรียนได้วันที่ 22 ธันวาคม 2568 เป็นต้นไป
.
📌เมื่อสมัครภายใน 11-15 ธันวาคม 2568 รับส่วนลดทันที 300 บาท (เหลือ 2,900 บาท จาก 3,200 บาท) เพียงกรอกโค้ด “DEC300” บนเว็บไซต์ Mission Academy
.
⭐สามารถดูรายละเอียดและสมัครเรียนได้ที่ : academy.missiontothemoon.co/level-up-your-work-lif…
สอบถามเพิ่มเติม LINE OA: @missiontothemoon
.
.
#LevelUpYourWorklife
#Productivity
#Life
#Work
#missionacademy
13 hours ago | [YT] | 8
View 0 replies
Mission To The Moon
#missionชวนคุย มาแชร์กันว่า...
1 day ago | [YT] | 24
View 6 replies
Mission To The Moon
⏰ตั้งเวลาไว้ให้พร้อม เพราะพรุ่งนี้ คอร์ส “Level-Up Your Work-Life ทำงานให้ Pro เพื่อชีวิตที่ Flow” คลาสสุดท้ายจะเริ่มสอนสดออนไลน์แล้ว!
.
📖Day 2 : Yarigai สำเร็จแบบที่ไม่ต้องเปรียบเทียบใคร
📅10 ธันวาคม 2568 เวลา 19.00 - 21.00 น.
โดย ผศ.ดร. กฤตินี เพิ่มทรัพย์ เจ้าของเพจ "เกตุวดี Marumura" อาจารย์ด้านการตลาด ผู้มีประสบการณ์สอนในมหาวิทยาลัย 10+ ปี
ระยะเวลาเรียน : 1.30 ชั่วโมง + ถามตอบแบบใกล้ชิดจัดเต็ม 30 นาที (เฉพาะผู้เรียนสดผ่านกลุ่ม Facebook เท่านั้น)
.
[ ] Kansha : ฝึกความรู้สึกขอบคุณ การเห็นคุณค่าของสิ่งรอบๆ ตัว
[ ] Kosei : ค้นหาทักษะเฉพาะตัวเรา ที่เราเองอาจมองข้าม
[ ] Yarigai : การใชัทักษะของเรา สร้างประโยชน์ให้ผู้อื่น และได้เห็นคุณค่าของตนเอง
[ ] ได้เรียนรู้หลักการ Journal Writing เพื่อเรียบเรียงความคิดของตัวเองออกมาอย่างเป็นระบบ
[ ] ให้คุณได้ทบทวนความฝันและความต้องการตนเอง
[ ] ได้มองเห็นแนวทางชีวิตตนเองชัดมากขึ้น
.
ซึ่งหลังจากที่การชำระเงินสำเร็จแล้ว ผู้เรียนทุกท่านจะได้รับอีเมลยืนยันการสมัครเรียน พร้อมกับลิงก์เข้ากลุ่ม Facebook Private Group สำหรับการเรียนการสอน
.
อีเมลดังกล่าวที่ผู้เรียนทุกท่านจะได้รับนั้นจะมีหัวข้อว่า : [ขอขอบคุณที่สมัครเรียนคอร์ส Level-Up Your Work-Life : ทำงานให้ Pro เพื่อชีวิตที่ Flow กับทาง Mission Academy] จากอีเมล academy@missiontothemoon.co
.
ดังนั้น หากผู้เรียนท่านใดที่ยังไม่ได้รับอีเมลดังกล่าวจากทีมงาน Mission Academy โปรดติดต่อ LINE OA: @missiontothemoon
.
โดยถ้าหากผู้เรียนท่านไหนที่สมัครแล้ว เกิดติดธุระหรือไม่สะดวกเข้าเรียนในวันที่สอนก็ไม่ต้องเสียใจไป เพราะผู้เรียนทุกคนยังสามารถรับชมการเรียนการสอนแบบย้อนหลังได้ถึง 2 ช่องทางด้วยกัน นั่นก็คือ
.
1. ผู้สมัครรอบเรียนสดออนไลน์ทั้ง 2 วันสามารถรับชมการสอนย้อนหลังในกลุ่ม Facebook Private Group ได้ 30 วันหลังจบคลาส
.
2. ผู้สมัครรอบเรียนสดออนไลน์ทั้ง 2 วันสามารถรับชมบทเรียนย้อนหลังผ่านแพลตฟอร์ม Mission Academy ได้ตลอดชีวิต (เริ่มตั้งแต่วันที่ 22 ธันวาคม 2568 เป็นต้นไป)
.
🔥ส่วนใครที่ซื้อรอบเรียนสดออนไลน์ไม่ทัน ไม่ต้องห่วง เพราะเราจะมีเปิดรอบเรียนย้อนหลัง เตรียมเปิดโนติฯ รอประชาสัมพันธ์เพิ่มเติมได้เลย!
.
หากท่านใดมีข้อสงสัยเพิ่มเติม สามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่
Facebook : Mission Academy
LINE OA : @missiontothemoon
Email: academy@missiontothemoon.co
Tel: คุณไหม 089-452-2898
**เวลาทำการ จันทร์-ศุกร์ (09.00-18.00 น.)
.
.
#LevelUpYourWorklife
#Productivity
#Life
#Work
#missionacademy
2 days ago | [YT] | 24
View 2 replies
Mission To The Moon
ถ้าการค้นหาข้อมูลบนอินเทอร์เน็ตในช่วงนี้ทำให้เราโมโห หงุดหงิดและรู้สึกยุ่งยากกว่าเดิม ไม่แน่ว่าเราอาจกำลังเข้าสู่ ‘ยุค AI Slop’ หรือยุคล่มจมของโลกอินเทอร์เน็ตแล้วก็ได้
.
หากลองสังเกตดู เดี๋ยวนี้เวลาจะค้นหาอะไรทางอินเทอร์เน็ตก็เจอแต่หน้าเว็บไซต์หรือเพจที่แฝงโฆษณาจากสปอนเซอร์ แต่เนื้อหาข้อมูลข้างในกลับใช้ประโยชน์ไม่ได้
.
หรือบางครั้งเครื่องมือค้นหาที่สร้างขึ้นจาก AI ก็นำเสนอแต่ข้อมูลที่เชื่อถือไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับข้อมูลที่อาจสร้างความเข้าใจผิดและผลกระทบ เช่น ด้านวิทยาศาสตร์ การแพทย์ หรือข้อมูลข่าวสารสำคัญ
.
ทั้งนี้ก็เพราะ AI มีบทบาทกับชีวิตของเราเพิ่มมากขึ้น จากที่เคยเป็นตัวช่วยของคนทำงานแค่บางสาขาอาชีพก็กลายเป็นเครื่องมือที่ใครต่อใครต้องเรียนรู้ และปรับตัวเข้าหายุคที่ AI กำลังจะครองโลก
.
แต่ในหลายครั้งความง่าย ความสะดวกสบาย หรือความไวซึ่งเป็นคุณสมบัติเด่นของ AI ก็ก่อให้เกิด ‘ยุคล่มจม’ ของโลกแห่งอินเทอร์เน็ต จนผู้เชี่ยวชาญบัญญัติศัพท์ว่า ‘AI Slop’ และ ‘Enshittification’ ที่สะท้อนถึงความเสื่อมถอยของอุตสาหกรรมอินเทอร์เน็ตและเทคโนโลยี
.
แล้ว ‘AI Slop’ และ ‘Enshittification’ ที่ว่านี้คืออะไรกันแน่? และที่สำคัญกว่านั้นเราในฐานะผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ต สื่อออนไลน์ รวมถึงเครื่องมือ AI ทั้งหลายจะต้องรับมืออย่างไร?
.
.
คุณภาพของข้อมูลแย่ลงไม่พอ ยังต้อง ‘จ่ายเงินเพิ่ม’ เพื่อเข้าถึงข้อมูลที่น่าเชื่อถือได้
.
ก่อนที่โลกจะคุ้นเคยกับสิ่งที่เรียกว่า AI การใช้งานอินเทอร์เน็ต หมายถึง เมื่อเรากดค้นหาข้อมูลของอะไรสักอย่าง ไม่ว่าจะเป็นสินค้า ผลิตภัณฑ์ หรือต้องการหาความรู้ถึงสิ่งที่สงสัย เรามักจะต้องกดเข้าไปอ่านเนื้อหาจากหลายๆ เว็บไซต์เพื่อคัดกรองเฉพาะข้อมูลที่น่าเชื่อถือมากที่สุด ซึ่งหากใครมีเวลาจำกัดก็มักจะเชื่อถือเว็บไซต์แรกที่ถูกนำมาแสดงผล
.
ซึ่งเมื่อเทียบกับยุคนี้ที่เว็บไซต์แฝงโฆษณาหรือสปอนเซอร์มักจะถูกนำมาแสดงเป็นอันดับแรกๆ เท่านั้นยังไม่พอ เครื่องมือการค้นหายังเปิดให้ AI สามารถเจนฯ คำตอบขึ้นมา ซึ่งสิ่งที่แสดงผลออกมานั้นไม่มีการตรวจสอบโดยผู้เชี่ยวชาญ รวมถึงเราในฐานะผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตเองก็ยังไม่สามารถตรวจสอบแหล่งที่มาได้อีกด้วย
.
ยิ่งไปกว่านั้น ในกลุ่มคนทำงานจะรู้กันดีว่า AI คุณภาพที่สามารถเป็น ‘เครื่องมือช่วย’ ของเราได้จริงๆ ทั้งในแง่ของความสะดวก ความรวดเร็ว และคุณภาพที่ดีกว่าล้วนเป็นเครื่องมือ AI ที่ต้องจ่ายเงินเพิ่ม เช่น เครื่องมือหรือโหมด Research ของ Generative AI บางตัว
.
ทั้งหมดนี้คือปรากฏการณ์ที่พบเห็นได้ชัดของการเสื่อมถอยของยุคอินเทอร์เน็ตที่มี AI เป็นตัวขับเคลื่อนหลัก จนกลายเป็นที่มาของคำศัพท์ที่ว่า “AI Slop” หรือสื่อคอนเทนต์คุณภาพต่ำไม่ว่าจะเป็น ข้อความ รูปภาพ หรือคลิปวิดีโอ ที่ถูกสร้างขึ้นโดย AI ซึ่งการเกิดขึ้นอย่างแพร่หลายของ AI Slop ก็ทำให้ผู้เชี่ยวชาญต่างศึกษาถึงที่มาและสาเหตุที่ทำให้เนื้อหาของข้อมูลบนโลกอินเทอร์เน็ตเสื่อมคุณภาพลง
.
ทั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญที่เป็นทั้งนักเขียน นักพูด นักข่าวและนักเคลื่อนไหวชาวแคนาดา-อังกฤษอย่าง Cory Doctorow ได้บัญญัติศัพท์คำหนึ่ง ซึ่งได้รับความนิยมในกลุ่มของนักเศรษฐศาสตร์ รวมถึงผู้เชี่ยวชาญสาขาต่างๆ ในเวลาต่อมา นั่นคือคำว่า “Enshittification” ด้วยเช่นกัน
.
Cory Doctorow ได้ระบุว่า “Enshittification” คำคำนี้สะท้อนให้เห็นความเสื่อมถอย ความล่มจม หรือคุณภาพที่ลดลงซึ่งไม่ได้เกิดจากความผิดพลาด แต่เป็นวัฏจักรที่ผู้ผลิตคอนเทนต์หรือ AI จงใจที่จะเปลี่ยนเราในฐานะ ‘ผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ต’ เป็นแหล่งรายได้สูงสุด ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิด AI Slop ในปัจจุบัน
.
กล่าวคือ แพลตฟอร์มหรือผู้ผลิตคอนเทนต์ รวมถึงผู้ให้บริการ AI เจ้าต่างๆ จะใช้กลยุทธ์สร้างรายได้ด้วยการดึงลดคุณภาพของข้อมูลเนื้อหาลง เพื่อเรียกร้องให้ผู้บริโภคยอมจ่ายเงินมากขึ้น ซึ่งน้อยคนนักที่จะต้านทาน เพราะกลยุทธ์ต่างๆ ถูกออกแบบมาอย่างแยบยล และแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะต่อต้านการซื้อเครื่องมือ AI ที่ให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าแม้จะต้องจ่ายแพงกว่า ในยุคที่ทุกคนมี AI แพ็กเกจพื้นฐานติดตัว
.
แล้วกลยุทธ์ ‘Enshittification’ ของผู้ผลิตที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์ AI Slop ตามความเห็นของ Cory Doctorow นั้นทำงานอย่างไร?
.
[ ] ขั้นแรก: ทุ่มทุนพัฒนา AI เพื่อซื้อใจ มอบความสะดวกสบายให้กับผู้ใช้งาน
.
ในยุคเริ่มต้น แพลตฟอร์มจะระดมทุนมหาศาลจากนักลงทุน และใช้เงินเหล่านั้นเพื่อมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับคนทั่วไป โดยในช่วงแรกแพลตฟอร์มจะเน้น ‘ผู้ใช้งานทั่วไป’ เป็นศูนย์กลาง และมอบความสะดวก สิทธิพิเศษ รวมถึงแพ็กเกจเสริมอื่นๆ ในราคาที่ต่ำกว่าทุน ซึ่งในกระบวนการแรกผู้คนก็จะสามารถเข้าถึงเครื่องมือ AI คุณภาพได้อย่างทั่วถึง และเคยชินกับการมี AI เป็นทางลัดของชีวิตในทุกวัน
.
[ ] ขั้นที่ 2: เริ่มถือไพ่เหนือกว่าผู้ใช้งาน
.
เมื่อผู้ใช้งาน AI เริ่มมีหลากหลายมากขึ้น ทั้ง Personal User และ Business User เราจะเริ่มรู้สึกว่าแพลตฟอร์มไม่มีทางเลือกที่ดีกว่าเสนอให้กับเราอีกแล้ว นี่จะเป็นช่วงที่แพลตฟอร์มหรือผู้พัฒนา AI จะเริ่มลดผลประโยชน์ของ ‘ผู้ใช้งานบัญชีทั่วไป’ หรือ Personal User เช่น การติดลิมิตเพื่อจำกัดเวลาหรือปริมาณข้อมูลในแต่ละครั้งของการใช้งาน หรือเสนอให้จ่ายเงินเพิ่มเพื่อซื้อฟังก์ชันที่มีประโยชน์อื่นๆ เพิ่มเติม
.
ยิ่งไปกว่านั้น แพลตฟอร์มจะเริ่มหันไปมอบผลประโยชน์ให้กับพันธมิตรทางธุรกิจแทน เช่น อนุญาตให้ธุรกิจสามารถปรับอัลกอริทึม เพื่อให้สินค้าของตนเองปรากฏเป็นอันดับต้นๆ ในการค้นหา เป็นต้น
.
[ ] ขั้นสุดท้าย: ลดคุณภาพเพื่อกำไรสูงสุด
.
ท้ายที่สุด เมื่อผู้ใช้งานทั่วไปและผู้ใช้งานแบบธุรกิจถูกระบบจดจำข้อมูล รวมถึงพฤติกรรมการใช้งานอินเทอร์เน็ตแล้ว แพลตฟอร์มก็จะเริ่มเข้าสู่ขั้นตอนการลดคุณภาพทั้งหมดกลับคืนไปเพื่อมอบกำไรให้กับผู้ถือหุ้นและตัวแพลตฟอร์มเอง
.
ผู้ใช้งานจะรู้สึกว่าต้อง ‘ยอมจ่าย’ ค่าธรรมเนียมในราคาที่สูงขึ้น เพื่อเข้าถึงคุณภาพของ AI หรือเครื่องมืออัลกอริทึมที่จำเป็นกับธุรกิจของตัวเองมากขึ้น
.
นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้เราต้องเผชิญกับ AI Slop ทั้งเครื่องมือค้นหาที่แย่ลง ทั้งผลการค้นหาคุณภาพต่ำ และในบางครั้งก็เต็มไปด้วยโฆษณา สปอนเซอร์ ซึ่งไม่ตรงกับข้อมูลที่อยากได้ โดยทางเลือกเดียวที่จะช่วยให้เราเข้าถึง ‘คุณภาพ’ ซึ่งเป็นมาตรฐานเดิมได้ก็คือการจ่ายเงินเพิ่มเท่านั้น
.
แล้วเราในฐานะที่เป็นผู้บริโภคหรือ ‘ผู้ใช้งานทั่วไป’ ในโลกอินเทอร์เน็ตจะทวงคืนสิทธิ์ของตัวเองได้อย่างไร?
.
.
รับมือกับ Enshittification และโลกที่เต็มไปด้วย AI Slop
.
แม้ว่าการต่อสู้กับกระแสของ AI และการแข่งกับภาคธุรกิจจะเป็นเรื่องใหญ่ อีกทั้งยังดูจะไม่ได้สร้างแรงเปลี่ยนแปลงอะไรมากในความคิดของใครบางคน แต่วิธีที่ Misison To The Moon ได้รวบรวมมาจากบทความ Medium นี้อาจจะช่วยให้ทุกคนเห็นทางออกที่สามารถเริ่มต้นที่ตัวเองได้
.
โดยวิธีทวงคืนคุณค่าของการค้นคว้า และพัฒนาคุณภาพของสื่อคอนเทนต์ในอินเทอร์เน็ตในยุค AI Slop มีดังต่อไปนี้
.
[ ] ฝึกฝนวิจารณญาณเพื่อแยกแยะระหว่าง AI Slop กับ ‘ข้อมูลคุณภาพ’
.
เราในฐานะผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตและผู้เสพคอนเทนต์จะต้องมีวิจารณญาณมากขึ้นในการสังเกต วิเคราะห์ และแยกแยะระหว่าง ‘ข้อมูลหรือเนื้อหาที่มีคุณภาพ’ ออกจาก AI Slop โดยเนื้อหาที่มีคุณภาพสูงจะต้องใช้ความตั้งใจ ใช้เวลา และสะท้อนความเป็นมนุษย์
.
โดยเนื้อหาที่สร้างจากมนุษย์จะให้ความรู้สึกจริงใจ จุดประกาย หรือเชื่อมโยงกับเรา แต่หากเนื้อหาของคอนเทนต์ใดก็ตามที่เรียบง่ายเกินไป ไวเกินไป หรือสมบูรณ์แบบเกินไปอาจเป็นสัญญาณของ AI Slop ที่ถูกสร้างขึ้นอย่างรวดเร็วและเน้นปริมาณก็ได้
.
[ ] ให้ความสำคัญกับ ‘ความสร้างสรรค์’ ของมนุษย์
.
ทางออกที่ทรงพลังที่สุดในการรับมือกับ AI Slop คือตัวผู้เสพคอนเทนต์ หรือผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตต้องให้ความสำคัญกับ ‘ความสร้างสรรค์ที่สร้างโดยมนุษย์’ จริงๆ รวมถึงให้คุณค่ากับความพยายามในการบ่มเพาะและฝึกฝนทักษะต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นผลงานศิลปะ หรือผลิตภัณฑ์ใดก็ตาม
.
ยิ่งไปกว่านั้น กุญแจสำคัญคือต้องให้คุณค่ากับงานสร้างสรรค์ที่ไม่ได้ทำเงิน หรือเน้นปริมาณเพื่อให้ทันเทรนด์ในโลกออนไลน์ เพราะประสบการณ์และการฝึกฝนของคนคนหนึ่งจะสะท้อนถึงความเป็นมนุษย์ผ่านผลงานได้ดีกว่า และสามารถส่งต่อคุณค่าที่ไม่ใช่ตัวเงินได้ดีกว่าด้วย ซึ่งถ้าเราสนับสนุนงานสร้างสรรค์ประเภทนี้ก็จะช่วยให้ผู้สร้างคอนเทนต์มีกำลังใจในการผลิตเนื้อหาที่มีคุณภาพสู่โลกอินเทอร์เน็ตมากขึ้น
.
.
Enshittification และ AI Slop เป็นสัญญาณเตือนว่าโลกกำลังหมุนตามแรงขับเคลื่อนของเงินทุนและกระแสใหม่ ๆ อย่างไม่หยุดยั้ง ซึ่งบ่อนทำลายคุณภาพของอินเทอร์เน็ตที่เรารู้จัก
.
แต่ถึงแม้โลกดิจิทัลจะเปลี่ยนไปจนแทบจะ 'กลับตาลปัตร' เรายังคงมีอำนาจในการเลือกที่จะเสพและสนับสนุนคอนเทนต์อย่างมีวิจารณญาณ และเลือกที่จะเป็นผู้สร้างสรรค์ที่ใช้เวลา ความรู้สึก และความจริงใจในการผลิตงานที่มีคุณภาพ
.
การยืนหยัดว่าคุณค่าของมนุษย์ไม่ได้ถูกกำหนดด้วยอัลกอริทึม คือการต่อสู้ที่เรียบง่ายแต่ทรงพลังที่สุด ในการทวงคืนความสุขของการสร้างสรรค์ และเอาชนะอิทธิพลของ AI Slop ที่กำลังครอบงำโลกของเราอยู่ในปัจจุบัน
.
.
อ้างอิง
- How Much Worse Could the Internet Get?: Jacob Bacharach, The New Republic - bit.ly/48iZKpp
- How to escape the AI era of internet enshittification: ItsCocobee, Medium - bit.ly/48tAbAB
.
.
#enshittification
#AISlop
#trend
#missiontothemoon
#missiontothemoonpodcast
2 days ago | [YT] | 41
View 1 reply
Mission To The Moon
Innergy Planner 2026 สำหรับช่องทางออนไลน์หมดแล้วทุกสี ท่านที่ต้องการสามารถหาซื้อได้ที่ Kinokuniya และ B2S!
.
ตอนนี้ Mission To The Moon Innergy Planner 2025 ในช่องทางออนไลน์ Sold Out แล้วทุกสี แต่ใครที่ซื้อไม่ทันก็ยังมีสิทธิ์ลุ้น!
.
สำหรับลูกค้าที่กดสั่งซื้อ Innergy Planner 2025 ในช่องทางออนไลน์ของ Mission To The Moon ไม่ทันสามารถซื้อได้ที่หน้าร้านหนังสือ Kinokuniya ทุกสาขา (พารากอน เซ็นทรัลเวิร์ล และเอ็มควอเทียร์) และร้านหนังสือ B2S ในห้างสรรพสินค้าชั้นนำทั่วไป
.
🛒 B2S สาขาที่วางขาย Mission To The Moon Younique Planner 2025 (มีขายเพียงสี Noble Navy, Mellow Mint, และ Youthful Yellow เท่านั้น)
.
[ ] Westgate
[ ] Central Festival East Ville
[ ] Central Rama 3
[ ] Central Rama 2
[ ] Central Pinklao
[ ] Central Ladprao
[ ] Mega Bangna
[ ] Central World Plaza
[ ] Central RAMA9
[ ] Major Ratchayothin
[ ] Central Chidlom
[ ] Central SALAYA
[ ] Central Pattaya
[ ] Tesco Lotus Khon Kaen
[ ] Central Chiangmai
[ ] Central HADYAI
[ ] Central Phuket
*สามารถตรวจสอบจำนวนและสีเล่มแพลนเนอร์กับทางหน้าสาขาได้โดยตรง
.
Mission To The Moon ขอขอบคุณทุกการสนับสนุน คำแนะนำเพื่อพัฒนาต่อไปในอนาคต และกำลังใจจากทุกคน
.
.
#planner2025
#youniqueplanner2025
#missiontothemoon
#missiontothemoonpodcast
2 days ago | [YT] | 11
View 0 replies
Mission To The Moon
“เพิ่งอ่านหนังสือเล่มหนึ่งเขาบอกว่า ถ้าคนเรามีกิจกรรมอย่างหนึ่งที่จะช่วยเรื่องความเครียดหรือสุขภาพจิตได้เยอะเหมือนกัน ซึ่งนั่นก็คือ ‘กิจกรรมที่ทำด้วยมือ’”
.
“มนุษย์เราถูกออกแบบมาให้มี ‘มือ’ กับ ‘ตา’ ที่ประสานกัน เป็นระบบที่มหัศจรรย์มาก ถ้าต้องทำให้หุ่นยนต์ทำงานประสานคู่ไปกับการมองเห็นนี่ถือเป็นระบบโปรแกรมมิงที่ยากมาก เพราะมันคือการประมวลผลที่ซับซ้อน เพราะฉะนั้นอะไรก็ตามที่ต้องใช้ตากับมือไปพร้อมๆ กันก็จะเป็นการฝึกสมองที่ดีมาก”
.
“นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมคนยังชอบเขียนหรือจดด้วยมือ หรือใช้สมุดที่เป็นกระดาษจริงๆ อยู่ เพราะมันช่วยให้เราคิดออกได้มากกว่าการพิมพ์”
.
“ในยุคที่เราถูกดึงด้วยอะไรต่างๆ นานามากมาย จนทำให้ ‘สมาธิ’ หาได้ยากเหลือเกิน มันทำให้สมาธิกลายเป็นของที่มีค่า ความสามารถในการโฟกัสอะไรบางอย่างก็เป็นของที่มีค่า”
.
“พอเราตั้งใจทำอะไรสักอย่างที่สนุก ทำแล้วมีความสุขก็จะทำให้เราโฟกัสกับสิ่งนั้นได้นานพอสมควร เพราะเราจะรู้สึกอยากตั้งใจที่จะทำมัน”
.
การพักผ่อนที่แท้จริงเป็นแบบไหน?
.
“จริงๆ ความรู้สึกเวลาไม่คาดหวังอะไร หรืองานที่เราทำโดยไม่ต้องคาดหวังอะไร ก้ำกึ่งมากในตอนทำเพราะไม่รู้ว่าสิ่งนี้เรียกว่างานหรือเปล่า เพราะเราไม่ได้คาดหวังอะไรกับมันและเราสนุกที่จะได้ทำ ผมว่าเป็นการพักผ่อน”
.
“คิดว่าทุกอย่างถือเป็นการพักผ่อนได้หมด ตราบใดที่เราไม่ได้เอาจริงเอาจังกับมัน มีการพักผ่อนหลายรูปแบบมาก เช่น การอ่านหนังสือ การวาดรูป การนอนเล่น การดูฟุตบอล การออกไปเดินเล่นในสนามหญ้า”
.
“การไถมือถือก็อาจจะนับว่าพักผ่อนได้ เพราะเราไถเพลินๆ แต่ถ้าเล่นไปสักพักเราจะรู้สึกว่าเราถูกกระตุ้นมากเกินไป อาจจะอิจฉาคนอื่น อาจจะรู้สึกว่าตัวเองยังไม่เก่งพออยู่เรื่อยๆ”
.
งานอดิเรกที่ทำแล้วช่วยเสริมทักษะอื่นๆ?
.
“วิศวกรญี่ปุ่นคนหนึ่งมีงานอดิเรกคือการดูนก ซึ่งรถไฟในญี่ปุ่นก่อนหน้านี้จะเป็นรุ่นที่มีแรงเสียดทานสูง ตอนวิ่งก็จะดังแล้วก็เปลืองพลังงาน ระหว่างที่เขาคิดดีไซน์ใหม่ของรถไฟความเร็วสูงอยู่นั้นก็เปิดรูปนกดูไปเรื่อยๆ”
.
“แล้วเขาเปิดไปเจอรูปของ ‘นกกระเต็น’ ที่ดิ่งหัวลงไปในน้ำโดยที่น้ำไม่กระเด็นเลย เขาเลยคิดขึ้นมาว่า ‘รูปร่างหัวของนกกระเต็นอาจจะเป็นรูปร่างที่ช่วยลดแรงเสียดทาน?’ เขาเลยทำการทดลองกับการออกแบบรถไฟความเร็วสูง สุดท้ายก็กลายเป็น ‘ชินคันเซ็น’ ที่เรารู้จักกัน”
.
“บางทีวาดรูปเล่นก็ทำให้เราคิดบทความออก หรือบางทีการอยู่ในสภาวะที่ผ่อนคลายก็ทำให้เราเกิดไอเดียบางอย่างขึ้นมา”
.
“การที่เรามีงานอดิเรก หรือมีกิจกรรมพักผ่อนไม่ได้แปลว่าเราต้องปรับใช้ทักษะจากงานอดิเรกกับงานหลักของเราโดยตรงเสมอไป แต่ก็ไม่ใช่ว่ามันจะไม่สนับสนุนหรือสอดคล้องกับงานหลักเลย”
.
“เราสามารถกันเวลาให้กับเรื่องไร้สาระในแต่ละวันให้ตัวเองได้มีความสุขไปกับเรื่องบ้าๆ บอๆ หรือทำอะไรก็ได้ ขี้เกียจได้ เละๆ เทะๆ ก็ได้นะ”
.
.
บทสนทนาระหว่าง ‘แทป รวิศ หาญอุตสาหะ’ กับ ‘เอ๋ สราวุธ เฮ้งสวัสดิ์’ หรือ ‘นิ้วกลม’ ใน แอปเท๋ Dinner Talk EP.25 | ‘พักผ่อนให้เป็น’ เรื่องง่ายๆ ที่นักธุรกิจส่วนใหญ่มองข้าม! ที่จะชวนทุกคนมาหยุดพักเพื่อฟื้นฟูตัวเองกันอย่างแท้จริง
.
สามารถรับชม ‘พักผ่อนให้เป็น’ เรื่องง่ายๆ ที่นักธุรกิจส่วนใหญ่มองข้าม! | แอปเท๋ Dinner Talk EP.25 ฉบับเต็มได้ที่: https://youtu.be/1ST-j8Kf6vY
.
.
#ธุรกิจ
#แรงบันดาลใจ
#selfdevelopment
#แอปเท๋dinnertalk
#missiontothemoonpodcast
3 days ago | [YT] | 92
View 1 reply
Mission To The Moon
#missionชวนคุย มาแชร์กันว่า...
4 days ago | [YT] | 129
View 12 replies
Mission To The Moon
"เลือกจากความชัดเจน ไม่ใช่ความเจ็บปวด" ทำไมการตัดสินใจตอน "เจ็บ" มักพาเราไปผิดทาง?
.
มีความจริงข้อหนึ่งที่หลายคนใช้เวลาหลายปีกว่าจะยอมรับได้ นั่นคือ ชีวิตมักจะเจ็บปวดเสมอไม่ว่าจะเลือกทางไหน
[ ] ขี้เกียจออกกำลังกาย ก็เจ็บเพราะสุขภาพพัง แต่ถ้าลากตัวไปยิม ก็เจ็บเพราะต้องฝืนใจ
[ ] อยู่คนเดียว ก็เจ็บเพราะเหงา มีความสัมพันธ์ ก็เจ็บเพราะต้องเปิดใจและทำงานทางอารมณ์
[ ] นอนดูซีรีส์ทั้งวัน ก็เจ็บเพราะรู้สึกว่างเปล่า แต่พอลุกขึ้นมาทำงาน ก็เจ็บเพราะเหนื่อย
.
ดังนั้น เราจึงสามารถเห็นธรรมชาติของอารมณ์ได้ว่าไม่มีทางเลือกไหนที่ไม่เจ็บ มีแค่ให้เลือกว่าจะเจ็บแบบไหน แต่ปัญหาคือ คนส่วนใหญ่มักตัดสินใจตอนที่กำลังเจ็บอยู่ และนั่นคือจุดที่ทำให้เราเลือกผิดทางซ้ำแล้วซ้ำเล่า
.
.
เมื่อสมองถูก "ยึดครอง" โดยอารมณ์
.
Daniel Goleman นักจิตวิทยาผู้เขียนหนังสือ Emotional Intelligence (1995) เรียกปรากฏการณ์นี้ว่า "Amygdala Hijack" หรือการที่สมองส่วนอารมณ์ "ยึดครอง" สมองส่วนคิดวิเคราะห์
.
Amygdala คือชื่อส่วนของสมองที่ทำหน้าที่ประมวลผลอารมณ์และตอบสนองต่อภัยคุกคาม เมื่อเรารู้สึกเจ็บ เหงา กลัว หรือถูกคุกคาม Amygdala จะทำงานเร็วกว่าสมองส่วน Prefrontal Cortex ซึ่งเป็นส่วนที่ควบคุมการคิดอย่างมีเหตุผลและการตัดสินใจ
.
ผลลัพธ์คือ เราตอบสนองโดยไม่ได้คิด เพราะสมองส่วนอารมณ์ "ยึดครอง" สมองส่วนคิดไปก่อนที่เราจะทันได้ใช้เหตุผล นี่คือเหตุผลว่าทำไมหลายคนถึงตัดสินใจบางอย่างแล้วมานึกหรือเสียใจทีหลังว่า "เพราะอะไร ถึงตัดสินใจไปแบบนั้นนะ / ตอนนั้นเราคิดอะไรอยู่?"
.
.
Pain หรือความเจ็บปวดทำให้เราเห็นโลกบิดเบี้ยว
.
งานวิจัยของ Mara Mather จาก University of Southern California ที่ตีพิมพ์ใน Current Directions in Psychological Science (2012) พบว่าเมื่อคนเราอยู่ภายใต้ความเครียด สมองจะโฟกัสไปที่ข้อดีของตัวเลือกมากขึ้น และมองข้ามข้อเสียไปอย่างน่าตกใจ
.
พูดง่ายๆ คือ ตอนที่เราเครียดหรือเจ็บ เราจะมองคนหรือสิ่งที่อยู่ตรงหน้าดีกว่าความเป็นจริงเสมอ เพราะสมองอยากหาทางออกจากความเจ็บปวดโดยเร็วที่สุด
.
ซึ่งงานวิจัยนี้สามารถอธิบายได้ว่าทำไมคนที่เหงามากๆ ถึงมักเลือกคนที่ "อยู่ใกล้ที่สุดตอนนั้น" แทนที่จะเลือกคนที่ "ใช่จริงๆ" หรือทำไมคนที่เครียดกับงานถึงรีบกระโดดไปงานใหม่ ทั้งที่ยังไม่ได้คิดให้รอบคอบว่างานนั้นเป็นงานที่ใช่แล้วหรือยัง
.
ความเจ็บปวดทำให้เรามองเห็นตัวเองต่ำกว่าความเป็นจริง มองคนอื่นดีกว่าความเป็นจริง รีบคว้าอะไรก็ได้เพื่อปิดรูโหว่ในใจ และเลือกสิ่งที่ทำให้ปัจจุบันหายเจ็บ แทนที่จะเลือกสิ่งที่ทำให้อนาคตดีขึ้น
.
ปรากฏการณ์นี้แทบไม่ต่างจากการไปซื้อของตอนหิวจัด สุดท้ายก็หอบขนมกลับมาเต็มถุง ทั้งที่ตั้งใจจะซื้อแค่ไม่กี่อย่างเท่านั้น สุดท้ายก็ทำให้หลายๆ คนต้องมานึกเสียดายกับการตัดสินใจในภายหลัง
.
.
Pain vs. Choice ต่างกันยังไง?
.
ลองนึกภาพคนที่เพิ่งเลิกกับแฟนแล้วรู้สึกเหงามากๆ กับคนที่ใช้ชีวิตอยู่ดีๆ แล้วเจอคนที่น่าสนใจ ทั้งสองคนอาจตัดสินใจเริ่มความสัมพันธ์ใหม่เหมือนกัน แต่ "แรงจูงใจ" ที่อยู่เบื้องหลังต่างกันโดยสิ้นเชิง
.
คนแรกเลือกเพราะอยากหนีจากความเจ็บปวด คนที่สองเลือกเพราะเห็นว่าคนนี้เข้ากับชีวิตที่ตัวเองอยากมี นี่คือความแตกต่างระหว่าง Pain กับ Choice
.
การตัดสินใจจาก Pain หรือความเจ็บปวด เป็นการตัดสินใจที่เกิดจากความกลัว ความเหงา หรือความต้องการหนีจากความรู้สึกแย่ๆ ตรงหน้า เป้าหมายหลักคือ "ทำให้หายเจ็บตอนนี้" ไม่ใช่ "ทำให้ชีวิตดีขึ้นในระยะยาว" ผลลัพธ์จึงมักเป็นการ "คว้า" อะไรก็ได้ที่อยู่ใกล้มือ โดยไม่ได้ประเมินว่าสิ่งนั้นเหมาะกับเราจริงหรือไม่
.
ส่วนการตัดสินใจจาก Choice หรือตัวเลือก เป็นการตัดสินใจที่เกิดจากความชัดเจน ความสงบ และความตั้งใจจริง เป้าหมายคือ "สิ่งที่สอดคล้องกับชีวิตที่เราอยากมี" ไม่ใช่แค่สิ่งที่ทำให้รู้สึกดีขึ้นชั่วคราว ผลลัพธ์คือการ "เลือก" อย่างมีสติ โดยประเมินทั้งข้อดีและข้อเสีย ทั้งปัจจุบันและอนาคต
.
คำถามสำคัญที่ช่วยแยกแยะคือ "ถ้าตอนนี้ไม่ได้เจ็บ ไม่ได้กลัว ไม่ได้เหงา ฉันจะยังเลือกเหมือนเดิมไหม?"
ถ้าคำตอบคือ "ใช่" นั่นคือ Choice
ถ้าคำตอบคือ "ไม่แน่ใจ" นั่นคือสัญญาณว่า Pain กำลังตัดสินใจแทนเรา
.
.
รอให้อารมณ์ผ่านไป แล้วค่อยตัดสินใจด้วย ‘กฎ 90 วินาที’
.
ถ้าเราตัดสินใจตอนที่อารมณ์กำลังพุ่งสูง ผลลัพธ์มักจะไม่ดี แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าตอนไหนควรรอ ตอนไหนพร้อมเลือก?
.
Dr. Jill Bolte Taylor นักประสาทวิทยาจาก Harvard และผู้เขียนหนังสือ My Stroke of Insight เสนอแนวคิดที่เรียกว่า "กฎ 90 วินาที" ที่ช่วยให้เราแยกแยะระหว่างอารมณ์ที่เกิดขึ้นจริงกับอารมณ์ที่เราเลือกจะอยู่กับมันต่อได้ดีขึ้น
.
เธออธิบายว่าเมื่อเราถูกกระตุ้นทางอารมณ์ สมองจะหลั่งสารเคมีที่ทำให้เราอยู่ในโหมด "สู้หรือหนี" (Fight or Flight) แต่นี่คือจุดสำคัญ สารเคมีเหล่านี้จะถูกขับออกจากร่างกายภายในเวลาประมาณ 90 วินาทีเท่านั้น
.
นั่นหมายความว่า "คลื่นอารมณ์" ที่ถาโถมเข้ามานั้น จริงๆ แล้วมีอายุสั้นมาก ถ้าเราปล่อยให้มันผ่านไปโดยไม่ตอบสนอง มันจะค่อยๆ จางหายไปเอง
.
.
แล้วทำไมอารมณ์ถึงอยู่นานกว่านั้น?
.
Dr. Taylor ชี้ว่าหากหลังจาก 90 วินาทีผ่านไปแล้ว เรายังคงรู้สึกโกรธ กลัว หรือเจ็บปวดอยู่ นั่นไม่ใช่เพราะสารเคมีในร่างกายอีกต่อไป แต่เป็นเพราะเรา "เลือก" ที่จะอยู่ในวงจรอารมณ์นั้นต่อ
.
เราเลือกโดยการคิดถึงเรื่องเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า เล่าเรื่องเดิมในหัวไม่หยุด ซึ่งทุกครั้งที่คิด สมองก็จะหลั่งสารเคมีชุดใหม่ออกมาอีก วนเป็นลูปไม่รู้จบ พูดง่ายๆ คือ 90 วินาทีแรกเป็นปฏิกิริยาอัตโนมัติของร่างกาย แต่หลังจากนั้นเป็น "ทางเลือก" ของเรา
.
เมื่อรู้สึกถูกกระตุ้นทางอารมณ์อย่างรุนแรง ไม่ว่าจะเป็นความโกรธ ความเจ็บ หรือความกลัว ให้ลองทำตามขั้นตอนนี้
.
[ ] ขั้นแรก หยุดก่อน อย่าตอบสนองทันที ถ้าเป็นไปได้ ให้มองนาฬิกาหรือจับเวลา 90 วินาที
.
[ ] ขั้นที่สอง หายใจลึกๆ โฟกัสที่ลมหายใจ สังเกตว่าร่างกายรู้สึกอย่างไร หัวใจเต้นเร็วขึ้นไหม ไหล่เกร็งไหม มือสั่นไหม
.
[ ] ขั้นที่สาม ปล่อยให้คลื่นผ่านไป อย่าพยายามกดอารมณ์ แต่ก็อย่าเติมเชื้อไฟด้วยการคิดวนซ้ำ แค่สังเกตมันเหมือนดูคลื่นในทะเลที่ซัดเข้ามาแล้วก็ถอยออกไป
.
[ ] ขั้นสุดท้าย เมื่อ 90 วินาทีผ่านไป ค่อยถามตัวเองว่า "ตอนนี้ฉันพร้อมตัดสินใจด้วยความชัดเจนหรือยัง?" ถ้ายังไม่พร้อม ก็รอต่อได้ ไม่มีใครบังคับให้ต้องรีบ
.
เพราะการตัดสินใจที่ดีที่สุดมักไม่ได้เกิดขึ้นในช่วง 90 วินาทีแรกที่อารมณ์พุ่งสูง การที่เราให้เวลาตัวเองแค่ 90 วินาที อาจเป็นความแตกต่างระหว่างการพูดอะไรบางอย่างที่ต้องมานั่งเสียใจทีหลัง กับการตอบสนองอย่างมีสติที่เราภูมิใจได้
.
ดังนั้น 90 วินาทีนี้ แม้จะเป็นช่วงเวลาที่ไม่นาน แต่มันอาจเปลี่ยนทิศทางของการตัดสินใจครั้งสำคัญได้ทั้งหมด
.
[ ] ลองใช้หลักนี้กับความรัก ก่อนจะให้ใจใคร ลองถามตัวเองตรงๆ ว่า
"ฉันชอบเขา หรือฉันแค่ไม่อยากอยู่คนเดียว?"
"ฉันอยากให้เขาเข้ามา หรืออยากให้ความเหงาหายไป?"
"ฉันเลือกเขาเพราะเขาดีจริง หรือเพราะเขาอยู่ใกล้ที่สุดตอนนี้?"
ถ้าคำตอบคือข้อหลัง นั่นคือสัญญาณว่าเรากำลังเลือกจาก Pain ไม่ใช่ Choice
.
[ ] ลองใช้กับงานและโอกาส
งานที่ดีคืองานที่ "ใช่" ในระยะยาว ไม่ใช่งานที่แค่ช่วยให้เราหนีจากเจ้านายเดิม หนีความเบื่อ หรือหนีปัญหาที่ยังไม่ได้แก้
Choice จะถามว่า "งานนี้พาเราไปชีวิตที่อยากมีไหม?"
Pain จะถามแค่ว่า "งานนี้ทำให้หายเครียดตอนนี้ไหม?"
.
.
เพราะความจริงที่หลายๆ คนยังนึกไม่ถึงก็คือ เป็นเรื่องปกติที่ชีวิตจะต้องพบกับความเจ็บปวด ไม่ว่าจะเลือกทางไหน แต่ถ้าต้องเจ็บก็ควรเลือกความเจ็บที่คุ้มค่า และที่สำคัญกว่านั้น คืออย่าเลือกตอนที่ใจกำลังเจ็บ
.
การตัดสินใจที่ดี ต้องเกิดตอนที่ใจเรานิ่งพอจะเห็นความจริง
และเลือกจากความตัวเลือกที่ชัดเจน ไม่ใช่เลือกเพราะหลีกหนีจากความเจ็บปวด
.
.
อ้างอิง
- Amygdala Hijack: When Emotion Takes Over: Kimberly Holland, Healthline - bit.ly/4pMie7C
- Choose Your Pain: Life Hurts Anyway, So Pick the One That Builds You: Aishwarya, Medium - bit.ly/48JivlQ
.
.
#Life
#MentalHealth
#EmotionalIntelligence
#MissionToTheMoon
#MissionToTheMoonPodcast
5 days ago | [YT] | 221
View 3 replies
Mission To The Moon
“เราทุกคนมีเวลา 24 ชั่วโมงเท่ากัน”
.
ประโยคติดหูที่ทุกคนต้องเคยได้ยินแน่นอน เมื่อใดก็ตามที่เรากำลังพูดถึงหัวข้อของการบริหารเวลา
.
ปัญหาของการบริหารจัดการเวลานั้น เป็นปัญหาที่ไม่ว่าจะผ่านมากี่ยุคกี่สมัย ก็สร้างความปวดหัวให้กับเหล่าคนทำงานทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็นคนทำงานอิสระ เด็กจบใหม่ หรือพนักงานระดับ Middle Management
.
อย่างไรก็ตาม ในหมวดหมู่ของคนทำงาน บุคคลที่ทุกคนน่าจะมีความเห็นตรงกันว่ายุ่งที่สุดก็คือ “CEO” โดยเฉพาะ CEO ระดับโลกที่ต้องเผชิญกับความท้าทายที่ซับซ้อนตลอดทั้งวัน ประชุมต่อเนื่องตั้งแต่เช้าจรดเย็น อีเมลที่ไหลเข้ามาไม่หยุด และการตัดสินใจที่มีผลกระทบต่อธุรกิจมูลค่าหลายพันล้าน ซึ่งทั้งหมดนี้ต้องเกิดขึ้นภายในวันเดียวกัน
.
แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ CEO ระดับโลกเหล่านี้ก็มีเวลาเพียง 24 ชั่วโมงเหมือนกับคนทั่วไป แค่เรื่องงานก็ยุ่งจะแย่แล้วยังต้องแบ่งเวลาไปให้ครอบครัวอีก ดังนั้นจึงพอจะพูดได้ว่าความแตกต่างระหว่าง CEO เหล่านี้กับคนทั่วไปไม่ได้อยู่ที่ปริมาณของเวลาที่มี แต่อยู่ที่วิธีการใช้เวลานั้นอย่างมีสติและเป็นระบบอีกด้วย
.
ซึ่งนำมาสู่คำถามว่า แล้ว CEO ระดับโลกเหล่านี้เขาบริหารจัดการตารางชีวิตอย่างไร?
.
ดังนั้น ลองไปรู้จักเครื่องมือบริหารเวลาที่ CEO ระดับโลกเลือกใช้จริงกันดีกว่า
.
.
Time Blocking : แบ่งเวลาทำงานให้ชัดเจน
.
Time Bloicking คือเทคนิคที่ Bill Gates และ Elon Musk ใช้อย่างจริงจังคือการแบ่งวันออกเป็นช่วงเวลาขนาด 5-15 นาที แต่ละช่วงมีภารกิจเฉพาะที่วางแผนไว้ล่วงหน้า ไม่ใช่แค่การจดตารางนัดหมาย แต่คือการออกแบบวันทั้งวันเป็นบล็อก
.
เมื่อตั้งบล็อกเวลาไว้สำหรับงานไหน ก็ทำเฉพาะงานนั้น ไม่เช็กอีเมล ไม่รับโทรศัพท์ที่ไม่จำเป็น การควบคุมวันแบบนี้ทำให้ CEO เหล่านี้สามารถจัดการงานซับซ้อนหลายโปรเจกต์พร้อมกัน โดยไม่รู้สึกท่วมท้นหรือ Burnout ไปเสียก่อน
.
Marc Andreessen ผู้ร่วมก่อตั้ง Netscape เคยบอกว่าเขาวางแผนปฏิทินล่วงหน้าเป็นเดือน และแทบไม่มีช่องว่างเลยในแต่ละวัน เพราะถ้าไม่กำหนดเวลาเอาไว้ งานก็จะไหลเข้ามาเองโดยไม่มีทิศทาง
.
.
Eat That Frog : เริ่มวันด้วยงานที่ยากที่สุด
.
Brian Tracy ผู้เขียนหนังสือขายดีเล่มนี้ยกคำพูดของ Mark Twain มาใช้ว่า "ถ้าคุณต้องกินกบ ให้ทำตอนเช้าเป็นอันดับแรก แล้วไม่มีอะไรแย่ไปกว่านั้นอีกตลอดทั้งวัน" หลักการง่ายๆ คือเริ่มวันด้วยงานที่ท้าทายที่สุด ยากที่สุด หรือสำคัญที่สุด ก่อนที่จะทำอย่างอื่น
.
Anna Wintour บรรณาธิการตำนานของ Vogue เล่าว่าเธอตื่นเช้าตีห้าเพื่อออกกำลังกายและวางแผนวัน จากนั้นจะเข้าออฟฟิศตั้งแต่หกโมงเช้าเพื่อจัดการงานสำคัญที่ต้องใช้สมองสูง เช่น การตัดสินใจเกี่ยวกับปกนิตยสาร หรือการอนุมัติเนื้อหาสำคัญ ตอนนั้นสมองยังสดชื่น ไม่มีใครรบกวน และเต็มไปด้วยพลังงาน
.
Tim Cook CEO ของ Apple ก็เป็นอีกคนที่มีนิสัยคล้ายกัน เขาเริ่มส่งอีเมลให้ทีมตั้งแต่ตีสี่ครึ่ง และมักจะอยู่คนแรกในออฟฟิศ เพื่อใช้เวลาช่วงเช้าที่เงียบสงบนี้ทำงานที่ต้องการสมาธิสูง ก่อนที่วันจะเริ่มเต็มไปด้วยประชุมและเรื่องเร่งด่วนต่างๆ
.
เทคนิคนี้ไม่ได้หมายความว่าต้องตื่นตีสี่ แต่คือการหาช่วงเวลาที่สมองคุณทำงานได้ดีที่สุด แล้วเก็บเอาไว้สำหรับงานที่สำคัญที่สุด เมื่อ "กบ" ตัวใหญ่ที่สุดถูกจัดการไปแล้ว สิ่งที่เหลือในวันก็รู้สึกเบาลงทันที
.
.
The Two-Minute Rule : งานไหนทำเสร็จได้ภายใน 2 นาทีให้ทำเลย
.
David Allen ผู้เขียนหนังสือ "Getting Things Done" เคยบอกว่าถ้างานไหนทำเสร็จภายในสองนาที ก็ทำเลย อย่ารอ อย่าเก็บไว้ในลิสต์ อย่าตั้งเวลาเพื่อกลับมาทำทีหลัง
.
Reid Hoffman ผู้ร่วมก่อตั้ง LinkedIn เคยพูดถึงความสำคัญของการตัดสินใจเร็วในเรื่องเล็กๆ เพื่อประหยัดพลังสมองสำหรับเรื่องใหญ่ๆ ที่สำคัญจริงๆ กฎสองนาทีช่วยให้เขาไม่ต้องเสียพลังงานมาคิดซ้ำๆ กับงานเดิมๆ ที่จริงแล้วแค่ทำไปเลยก็เสร็จ
.
อย่างไรก็ตาม เครื่องมือบริหารเวลาเหล่านี้ไม่ใช่สูตรวิเศษที่จะเปลี่ยนวันของคุณในชั่วข้ามคืน แต่คือระบบที่ถ้าฝึกฝนจนเป็นนิสัย จะช่วยให้คุณควบคุมเวลาได้มากขึ้น แทนที่จะปล่อยให้เวลาควบคุมคุณ
.
ดังนั้น ถ้าหากใครอยากรู้เทคนิคในการบริหารเวลาและจัดการชีวิตให้ตรงกับความต้องการของตัวเองอย่างแท้จริงแล้วละก็ห้ามพลาด!
.
🚀คอร์ส Level-Up Your Work-Life ทำงานให้ Pro เพื่อชีวิตที่ Flow เปิดให้เรียนออนไลน์ย้อนหลังตลอดชีพ! สอนโดย 2 วิทยากรชั้นนำของประเทศไทย
.
1. รวิศ หาญอุตสาหะ CEO, Srichand & Mission To The Moon Media
2. ผศ.ดร. กฤตินี เพิ่มทรัพย์ เจ้าของเพจ "เกตุวดี Marumura" อาจารย์ด้านการตลาด ผู้มีประสบการณ์สอนในมหาวิทยาลัย 10+ ปี
.
ตั้งแต่ระบบการทำงานที่ “ทำน้อยแต่ได้มาก” ในแบบฉบับของคุณเอง ควบคู่ไปกับการสร้าง Personal Vision อย่างเป็นระบบ การจัดการพลังงานแบบยั่งยืน การออกแบบเป้าหมายที่ "ทำได้จริง" ไปจนถึงการสร้างระบบติดตามที่ทำให้คุณไม่หลุดทางกลางคัน
.
หากใครก็ตามที่ต้องการจะหลุดออกจากรูทีนซ้ำๆ เดิมๆ อยากมีเป้าหมายชัดเจนแต่ยังไม่รู้จะเริ่มต้นยังไงให้มันเกิดขึ้นได้จริง ภายในหลักสูตรนี้ คุณจะได้เรียนรู้ทุกขั้นตอนของการออกแบบชีวิตที่มี Impact ห้ามพลาดเด็ดขาด!
.
🔥ราคาคอร์ส Recording Session
💰 ราคา 3,200 บาท (จ่ายครั้งเดียวเรียนได้ตลอดชีพ)
📅เปิดรับสมัครวันที่ 11 ธันวาคม 2568 เป็นต้นไป
📹เริ่มเรียนย้อนหลังได้ตั้งแต่วันที่ 22 ธันวาคม 2568 เป็นต้นไป
❤️🔥เมื่อสมัครภายใน 11-15 ธันวาคม 2568 รับส่วนลดพิเศษ 300.- ทันที (เหลือ 2,900 บาท จาก 3,200 บาท)
.
📌สำหรับใครที่กลัวพลาด ลงทะเบียนกรอกข้อมูลเพื่อแสดงความสนใจเอาไว้ก่อนได้ที่ forms.gle/5FumyCp2BvsDGkCK7 แล้วเมื่อเปิดให้ซื้อคอร์สได้เมื่อไร ทีมงานจะติดต่อไปทันที!
.
สอบถามเพิ่มเติม LINE OA: @missiontothemoon
.
.
#LevelUpYourWorklife
#Productivity
#Life
#Work
#missionacademy
5 days ago | [YT] | 39
View 0 replies
Load more