Mission To The Moon

Reskill Thailand เติมเต็มความรู้และแรงบันดาลใจ ในการพัฒนาทักษะใหม่ให้คนทำงาน เพื่อตอบรับการเปลี่ยนแปลงของโลก by Mission To The Moon Media


Mission To The Moon

“มันจะไอ้นั่นไง…แบบ…ไอ้นั่นอะ”
.
เคยตกอยู่ในสถานการณ์ที่สมองตื้อ หยุดทำงานไปเฉยๆ หรืออยู่ๆ ก็นึกคำไม่ออก ทั้งที่เป็นคำง่ายๆ ในชีวิตประจำวันที่เราคุ้นเคยกันหรือเปล่า?
.
ถ้าไม่เคยเป็น อย่างน้อยก็ในชีวิตของเราก็จะต้องมีเพื่อน ครอบครัว หรือใครสักคนที่มีนิสัยติดพูดคลุมเครือ พูดกำกวม หรือไม่ก็พูดไม่รู้เรื่องอยู่รอบตัวสักคนหนึ่ง
.
นิสัยที่อาจสร้างความรำคาญใจให้กับผู้ฟัง หรือในบางครั้งก็เพิ่ม ‘ความมั่นใจ’ ในการสื่อสารให้กับตัวผู้พูดเองนี้เรียกว่าสภาวะ Tip of the Tongue (TOT) หรือ Lethologica ซึ่งเป็นกระบวนการทางสมองที่ซับซ้อน แต่ถ้าสังเกตคนรอบตัว หรือแม้แต่ผู้ใหญ่ในบางคนก็จะพบว่าสภาวะนี้เกิดขึ้นได้ง่ายกว่าที่คิด
.
.
สภาวะ Tip of the Tongue คืออะไร?
.
โดยปกติแล้ว สมองของเราจะเรียกคำต่างๆ จากคลังคำหรือคลังความรู้ขนาดใหญ่ได้อย่างราบรื่น จับคู่ความหมายและเสียงของคำต่างๆ และนำมาเรียงเป็นประโยค แต่ในขณะที่เกิดสภาวะ Tip of the Tongue กระบวนการเรียกคืนนี้จะติดขัด สับสน และมีความรู้สึกว่าคลับคล้ายคลับคลา หรือพอจะคุ้นๆ กับคำนั้นได้ แต่กลับนึกไม่ออกว่าเป็นคำว่าอะไร กลายเป็นสภาวะที่เรียกว่า ‘Tip of the Tongue’
.
สภาวะ Tip of the Tongue (TOT) หรือ Lethologica หมายถึง การที่เราไม่สามารถนึกชื่อของครูประจำชั้นวัยประถม หรือนึกถึง ‘คำ’ ที่มีความหมายเฉพาะเจาะจงกับสถานการณ์นั้นๆ แม้ว่าเราจะรู้จักคำนั้นดีและพยายามนึกถึง แต่กลายเป็นว่านึกไม่ออก
.
กระบวนการนี้เป็นปรากฏการณ์อันซับซ้อนที่เกิดขึ้นกับสมองของคนก็จริง แต่ในหลายๆ ครั้งเรากลับพบว่าเหตุการณ์ที่คล้ายกันนี้เกิดขึ้นได้บ่อยครั้ง ไม่ว่าจะกับคนรอบตัวเรา หรือแม้แต่เราเอง เวลาที่เราคิดอะไรบางอย่าง สมองจะกำหนดคำซึ่งสอดคล้องกับความหมายที่เราจะสื่อ และเราก็พูดสิ่งที่อยู่ในหัวออกมา
.
แต่เมื่อเกิดสภาวะ Tip of the Tongue หรือ Lethologica ขึ้น คำเหล่านั้นก็จะหายไปทันที แม้ว่ากระบวนการนี้จะยังไม่มีงานวิจัยมาอธิบายกลไกทางสมองที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจน แต่ผู้เชี่ยวชาญหลายคนก็หยิบยกทฤษฎีที่น่าสนใจ เช่น
.
[ ] สภาวะ Tip of the Tongue มีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นมากเมื่อผู้คนรู้สึกเหนื่อยล้า
[ ] ยิ่งความทรงจำถูกรบกวน ผู้คนก็จะยิ่งมีแนวโน้มที่จะนึกคำง่ายๆ ไม่ออก
[ ] หากเกิด Tip of the Tongue ซ้ำๆ ในช่วงสอบ หรือวันที่ต้องนำเสนองานสำคัญ แปลว่าเราอาจจะต้องเตรียมตัวและศึกษาข้อมูลที่จะพูดให้มากขึ้น
[ ] สภาวะ Tip of the Tongue อาจเป็นสัญญาณเตือนถึงปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรงยิ่งกว่านั้น เช่น ภาวะสมองเสื่อม เป็นต้น
.
นอกจากนี้ ยังมีข้อเท็จจริงอีกหลายประการที่เราอาจจะยังไม่รู้เกี่ยวกับสภาวะ Tip of the Tongue แต่อาจจะเป็นประโยชน์กับการศึกษาวิจัยในอนาคต เช่น
.
[ ] เป็นปรากฏการณ์สากลที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน ทุกวัฒนธรรมภาษา
[ ] ยิ่งอายุเพิ่มขึ้น ยิ่งประสบสภาวะ Tip of the Tongue ได้มากขึ้น
[ ] ผู้คนมักจะจำข้อมูลบางส่วนของคำได้ เช่น คลับคล้ายคลับคลาพยัญชนะขึ้นต้น หรือบางพยางค์ เป็นต้น
[ ] ‘ชื่อเฉพาะ’ เช่น ชื่อบุคคล หรือชื่อสถานที่ เป็นคำประเภทที่นึกออกได้ยากมากที่สุด
.
นอกจากนี้ คนที่สื่อสารมากกว่า 1 ภาษาก็มักจะมีแนวโน้มประสบกับสภาวะ Tip of the Tongue ได้มากกว่า อาจเป็นเพราะพวกเขารู้มากกว่าหนึ่งคำเพื่ออธิบายถึงสิ่งเดียวกัน
.
แต่ในขณะที่เรารู้สึกเหมือนกับว่าสมองกำลังจะล้มเหลวในการนึก ‘คำบางคำ’ ให้ออก คนที่ประสบกับสภาวะ Tip of the Tongue อาจจะเกิดความรู้สึกรำคาญใจ ทั้งหงุดหงิดที่ไม่สามารถสื่อสารความคิดออกไปได้ อีกทั้งยังกังวลกับปฏิกิริยาของคู่สนทนาที่รอฟังอยู่ด้วย
.
แล้วเราจะแก้ไขหรือจัดการกับสภาวะ Tip of the Tongue อย่างไรดี?
.
.
‘ให้เวลาสักเล็กน้อย’ ก็ลดการเกิดของสภาวะ Tip of the Tongue ได้
.
เมื่อเรารู้สึกว่าคำคำนั้นติดอยู่ที่ปลายลิ้นจริงๆ และทำอย่างไรก็นึกไม่ออกสักที การจัดการกับสภาวะ Tip of the Tongue ที่ดีที่สุดมักจะเป็นสิ่งที่ตรงข้ามกับสัญชาตญาณอย่าง ‘เลิกคิดถึงมันไปก่อน’
.
เพราะในช่วงเวลาที่เราผ่อนคลาย ไม่ได้กดดันตัวเองหรือพยายามในการนึกอย่างเร็วๆ คำคำนั้นมักจะโผล่ขึ้นมาเอง ซึ่งนักวิจัยก็คิดว่าวิธีการผ่อนคลายแบบนี้ช่วยเพิ่มโอกาสให้สมองเรียกคืนความจำได้โดยไม่มีอารมณ์หงุดหงิดและเครียดเข้ามารบกวน
.
หรือหากใครอยากกระตุ้นความทรงจำให้กลับมานึกถึงคำคำนั้นออกได้ไวอีกครั้ง ก็สามารถลองทำตามวิธีต่อไปนี้ได้
.
[ ] สังเกตเบาะแสอื่นๆ ที่ผุดขึ้นมาในหัว ณ เวลานั้น เช่น พยัญชนะขึ้นต้น จำนวนพยางค์ หรือโทนเสียง
[ ] พยายามนึกถึงบริบท สถานที่ หรือบุคคลที่เกี่ยวข้องกับคำคำนั้น
.
.
ดูเป็นวิธีง่ายๆ ที่อาจจะต้องให้เวลากับตัวเอง รวมถึงใช้ความอดทนมากขึ้นอีกเล็กน้อยในการนึกถึงคำที่เราคุ้นเคย แต่อยู่ๆ คำคำนั้นหลุดจากหัวไปจนนึกไม่ออก อย่างไรก็ตาม การพยายามเชื่อมโยงไปยังความทรงจำ ประสบการณ์ หรือข้อมูลอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอาจช่วยกระตุ้นให้เรานึกถึงคำคำนั้นได้ง่ายขึ้น
.
ทั้งนี้ หากรู้สึกว่าการหลงๆ ลืมๆ คำง่ายเริ่มสร้างความเดือดร้อนให้กับชีวิตประขำวันมากขึ้น แนะนำให้ปรึกษาแพทย์เพื่อวินิจฉัยหาสาเหตุที่แน่ชัดต่อไป
.
.
อ้างอิง
- This is what happens in your brain when you can’t recall a word - Cella Wright; TED-Ed - bit.ly/48HaTiq
- Lethologica or Tip-of-the-Tongue Phenomenon; Kendra Cherry, Verywell Mind - bit.ly/4a6u0oM
.
.
#TipoftheTongue
#psychology
#missiontothemoon
#missiontothemoonpodcast

10 hours ago | [YT] | 24

Mission To The Moon

🚀คอร์ส Level-Up Your Work-Life ทำงานให้ Pro เพื่อชีวิตที่ Flow เปิดให้เรียนออนไลน์ย้อนหลังตลอดชีพ!
📌เมื่อสมัครภายใน 11-15 ธันวาคม 2568 รับส่วนลดทันที 300 บาท (เหลือ 2,900 บาท จาก 3,200 บาท) เพียงกรอกโค้ด “DEC300” บนเว็บไซต์ Mission Academy
.
⭐สามารถดูรายละเอียดและสมัครเรียนได้ที่ : academy.missiontothemoon.co/level-up-your-work-lif…
.
.
ถึงชีวิตที่คุณวางแผนไว้จะยัง "ไม่เป็นดังตั้งใจ" แต่ยังไม่สายเกินไปที่จะเริ่มต้นใหม่
.
หลายคนทำงานวันละ 8-10 ชั่วโมง จมอยู่กับความวุ่นวายและเป้าหมายขององค์กร แต่กลับหาเวลาให้ชีวิตตัวเองไม่ได้ คุณเก่งมากในการจัดการกับ KPI งาน แต่เมื่อถึงเรื่องชีวิตส่วนตัว กลับตัดสินใจไม่ได้ว่าอะไรคือสิ่งที่ต้องการจริงๆ
.
[ ] "เป้าหมายชีวิตของเราคืออะไรกันแน่?"
[ ] "ทำไมวันๆ เราทำงานหนัก แต่ชีวิตดูไม่ไปไหน?"
[ ] "แล้วเราจะมีความสุขกับงานและชีวิตไปพร้อมกันได้อย่างไร?"
.
“Level-Up Your Work-Life ทำงานให้ Pro เพื่อชีวิตที่ Flow” คอร์สที่ถูกออกแบบมาสำหรับคนวัยทำงานทุกคนที่อยากมีชีวิตที่ Meaningful มากขึ้น ให้ทุกคนได้มีเวลาให้ตัวเองจริงๆ ได้ทบทวนตัวเอง และได้รู้จักตัวเองดียิ่งขึ้น สอนโดย 2 วิทยากรชั้นนำของประเทศไทย
.
1. รวิศ หาญอุตสาหะ CEO, Srichand & Mission To The Moon Media
2. ผศ.ดร. กฤตินี เพิ่มทรัพย์ อาจารย์ด้านการตลาด ผู้มีประสบการณ์สอนในมหาวิทยาลัย 10+ ปี เจ้าของเพจ "เกตุวดี Marumura"
.
ตั้งแต่ระบบการทำงานที่ “ทำน้อยแต่ได้มาก” ในแบบฉบับของคุณเอง ควบคู่ไปกับการสร้าง Personal Vision อย่างเป็นระบบ การจัดการพลังงานแบบยั่งยืน การออกแบบเป้าหมายที่ "ทำได้จริง" ไปจนถึงการสร้างระบบติดตามที่ทำให้คุณไม่หลุดทางกลางคัน พบได้ทั้งหมดในคอร์สเรียนออนไลน์ 2 วัน พร้อมรับ Blueprint ส่วนตัวที่นำไปใช้ได้ทันที ภายใต้การถ่ายทอดจากผู้ที่ผ่านการทำงานและใช้ชีวิตมาในหลากหลายสถานการณ์จริง
.
หากใครก็ตามที่ต้องการจะหลุดออกจากรูทีนซ้ำๆ เดิมๆ อยากมีเป้าหมายชัดเจนแต่ยังไม่รู้จะเริ่มต้นยังไงให้มันเกิดขึ้นได้จริง ภายในหลักสูตรนี้ คุณจะได้เรียนรู้ทุกขั้นตอนของการออกแบบชีวิตที่มี Impact ห้ามพลาดเด็ดขาด!
.
🔥 ราคาคอร์ส Recording Session
💰 ราคา 3,200 บาท
📅 ซื้อได้วันที่ 11 ธันวาคม 2568 เป็นต้นไป
📹 เริ่มเรียนได้วันที่ 22 ธันวาคม 2568 เป็นต้นไป
.
📌เมื่อสมัครภายใน 11-15 ธันวาคม 2568 รับส่วนลดทันที 300 บาท (เหลือ 2,900 บาท จาก 3,200 บาท) เพียงกรอกโค้ด “DEC300” บนเว็บไซต์ Mission Academy
.
⭐สามารถดูรายละเอียดและสมัครเรียนได้ที่ : academy.missiontothemoon.co/level-up-your-work-lif…
สอบถามเพิ่มเติม LINE OA: @missiontothemoon
.
.
#LevelUpYourWorklife
#Productivity
#Life
#Work
#missionacademy

13 hours ago | [YT] | 8

Mission To The Moon

#missionชวนคุย มาแชร์กันว่า...

1 day ago | [YT] | 24

Mission To The Moon

⏰ตั้งเวลาไว้ให้พร้อม เพราะพรุ่งนี้ คอร์ส “Level-Up Your Work-Life ทำงานให้ Pro เพื่อชีวิตที่ Flow” คลาสสุดท้ายจะเริ่มสอนสดออนไลน์แล้ว!
.
📖Day 2 : Yarigai สำเร็จแบบที่ไม่ต้องเปรียบเทียบใคร
📅10 ธันวาคม 2568 เวลา 19.00 - 21.00 น.
โดย ผศ.ดร. กฤตินี เพิ่มทรัพย์ เจ้าของเพจ "เกตุวดี Marumura" อาจารย์ด้านการตลาด ผู้มีประสบการณ์สอนในมหาวิทยาลัย 10+ ปี
ระยะเวลาเรียน : 1.30 ชั่วโมง + ถามตอบแบบใกล้ชิดจัดเต็ม 30 นาที (เฉพาะผู้เรียนสดผ่านกลุ่ม Facebook เท่านั้น)
.
[ ] Kansha : ฝึกความรู้สึกขอบคุณ การเห็นคุณค่าของสิ่งรอบๆ ตัว
[ ] Kosei : ค้นหาทักษะเฉพาะตัวเรา ที่เราเองอาจมองข้าม
[ ] Yarigai : การใชัทักษะของเรา สร้างประโยชน์ให้ผู้อื่น และได้เห็นคุณค่าของตนเอง
[ ] ได้เรียนรู้หลักการ Journal Writing เพื่อเรียบเรียงความคิดของตัวเองออกมาอย่างเป็นระบบ
[ ] ให้คุณได้ทบทวนความฝันและความต้องการตนเอง
[ ] ได้มองเห็นแนวทางชีวิตตนเองชัดมากขึ้น
.
ซึ่งหลังจากที่การชำระเงินสำเร็จแล้ว ผู้เรียนทุกท่านจะได้รับอีเมลยืนยันการสมัครเรียน พร้อมกับลิงก์เข้ากลุ่ม Facebook Private Group สำหรับการเรียนการสอน
.
อีเมลดังกล่าวที่ผู้เรียนทุกท่านจะได้รับนั้นจะมีหัวข้อว่า : [ขอขอบคุณที่สมัครเรียนคอร์ส Level-Up Your Work-Life : ทำงานให้ Pro เพื่อชีวิตที่ Flow กับทาง Mission Academy] จากอีเมล academy@missiontothemoon.co
.
ดังนั้น หากผู้เรียนท่านใดที่ยังไม่ได้รับอีเมลดังกล่าวจากทีมงาน Mission Academy โปรดติดต่อ LINE OA: @missiontothemoon
.
โดยถ้าหากผู้เรียนท่านไหนที่สมัครแล้ว เกิดติดธุระหรือไม่สะดวกเข้าเรียนในวันที่สอนก็ไม่ต้องเสียใจไป เพราะผู้เรียนทุกคนยังสามารถรับชมการเรียนการสอนแบบย้อนหลังได้ถึง 2 ช่องทางด้วยกัน นั่นก็คือ
.
1. ผู้สมัครรอบเรียนสดออนไลน์ทั้ง 2 วันสามารถรับชมการสอนย้อนหลังในกลุ่ม Facebook Private Group ได้ 30 วันหลังจบคลาส
.
2. ผู้สมัครรอบเรียนสดออนไลน์ทั้ง 2 วันสามารถรับชมบทเรียนย้อนหลังผ่านแพลตฟอร์ม Mission Academy ได้ตลอดชีวิต (เริ่มตั้งแต่วันที่ 22 ธันวาคม 2568 เป็นต้นไป)
.
🔥ส่วนใครที่ซื้อรอบเรียนสดออนไลน์ไม่ทัน ไม่ต้องห่วง เพราะเราจะมีเปิดรอบเรียนย้อนหลัง เตรียมเปิดโนติฯ รอประชาสัมพันธ์เพิ่มเติมได้เลย!
.
หากท่านใดมีข้อสงสัยเพิ่มเติม สามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่
Facebook : Mission Academy
LINE OA : @missiontothemoon
Email: academy@missiontothemoon.co
Tel: คุณไหม 089-452-2898
**เวลาทำการ จันทร์-ศุกร์ (09.00-18.00 น.)
.
.
#LevelUpYourWorklife
#Productivity
#Life
#Work
#missionacademy

2 days ago | [YT] | 24

Mission To The Moon

ถ้าการค้นหาข้อมูลบนอินเทอร์เน็ตในช่วงนี้ทำให้เราโมโห หงุดหงิดและรู้สึกยุ่งยากกว่าเดิม ไม่แน่ว่าเราอาจกำลังเข้าสู่ ‘ยุค AI Slop’ หรือยุคล่มจมของโลกอินเทอร์เน็ตแล้วก็ได้
.
หากลองสังเกตดู เดี๋ยวนี้เวลาจะค้นหาอะไรทางอินเทอร์เน็ตก็เจอแต่หน้าเว็บไซต์หรือเพจที่แฝงโฆษณาจากสปอนเซอร์ แต่เนื้อหาข้อมูลข้างในกลับใช้ประโยชน์ไม่ได้
.
หรือบางครั้งเครื่องมือค้นหาที่สร้างขึ้นจาก AI ก็นำเสนอแต่ข้อมูลที่เชื่อถือไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับข้อมูลที่อาจสร้างความเข้าใจผิดและผลกระทบ เช่น ด้านวิทยาศาสตร์ การแพทย์ หรือข้อมูลข่าวสารสำคัญ
.
ทั้งนี้ก็เพราะ AI มีบทบาทกับชีวิตของเราเพิ่มมากขึ้น จากที่เคยเป็นตัวช่วยของคนทำงานแค่บางสาขาอาชีพก็กลายเป็นเครื่องมือที่ใครต่อใครต้องเรียนรู้ และปรับตัวเข้าหายุคที่ AI กำลังจะครองโลก
.
แต่ในหลายครั้งความง่าย ความสะดวกสบาย หรือความไวซึ่งเป็นคุณสมบัติเด่นของ AI ก็ก่อให้เกิด ‘ยุคล่มจม’ ของโลกแห่งอินเทอร์เน็ต จนผู้เชี่ยวชาญบัญญัติศัพท์ว่า ‘AI Slop’ และ ‘Enshittification’ ที่สะท้อนถึงความเสื่อมถอยของอุตสาหกรรมอินเทอร์เน็ตและเทคโนโลยี
.
แล้ว ‘AI Slop’ และ ‘Enshittification’ ที่ว่านี้คืออะไรกันแน่? และที่สำคัญกว่านั้นเราในฐานะผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ต สื่อออนไลน์ รวมถึงเครื่องมือ AI ทั้งหลายจะต้องรับมืออย่างไร?
.
.
คุณภาพของข้อมูลแย่ลงไม่พอ ยังต้อง ‘จ่ายเงินเพิ่ม’ เพื่อเข้าถึงข้อมูลที่น่าเชื่อถือได้
.
ก่อนที่โลกจะคุ้นเคยกับสิ่งที่เรียกว่า AI การใช้งานอินเทอร์เน็ต หมายถึง เมื่อเรากดค้นหาข้อมูลของอะไรสักอย่าง ไม่ว่าจะเป็นสินค้า ผลิตภัณฑ์ หรือต้องการหาความรู้ถึงสิ่งที่สงสัย เรามักจะต้องกดเข้าไปอ่านเนื้อหาจากหลายๆ เว็บไซต์เพื่อคัดกรองเฉพาะข้อมูลที่น่าเชื่อถือมากที่สุด ซึ่งหากใครมีเวลาจำกัดก็มักจะเชื่อถือเว็บไซต์แรกที่ถูกนำมาแสดงผล
.
ซึ่งเมื่อเทียบกับยุคนี้ที่เว็บไซต์แฝงโฆษณาหรือสปอนเซอร์มักจะถูกนำมาแสดงเป็นอันดับแรกๆ เท่านั้นยังไม่พอ เครื่องมือการค้นหายังเปิดให้ AI สามารถเจนฯ คำตอบขึ้นมา ซึ่งสิ่งที่แสดงผลออกมานั้นไม่มีการตรวจสอบโดยผู้เชี่ยวชาญ รวมถึงเราในฐานะผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตเองก็ยังไม่สามารถตรวจสอบแหล่งที่มาได้อีกด้วย
.
ยิ่งไปกว่านั้น ในกลุ่มคนทำงานจะรู้กันดีว่า AI คุณภาพที่สามารถเป็น ‘เครื่องมือช่วย’ ของเราได้จริงๆ ทั้งในแง่ของความสะดวก ความรวดเร็ว และคุณภาพที่ดีกว่าล้วนเป็นเครื่องมือ AI ที่ต้องจ่ายเงินเพิ่ม เช่น เครื่องมือหรือโหมด Research ของ Generative AI บางตัว
.
ทั้งหมดนี้คือปรากฏการณ์ที่พบเห็นได้ชัดของการเสื่อมถอยของยุคอินเทอร์เน็ตที่มี AI เป็นตัวขับเคลื่อนหลัก จนกลายเป็นที่มาของคำศัพท์ที่ว่า “AI Slop” หรือสื่อคอนเทนต์คุณภาพต่ำไม่ว่าจะเป็น ข้อความ รูปภาพ หรือคลิปวิดีโอ ที่ถูกสร้างขึ้นโดย AI ซึ่งการเกิดขึ้นอย่างแพร่หลายของ AI Slop ก็ทำให้ผู้เชี่ยวชาญต่างศึกษาถึงที่มาและสาเหตุที่ทำให้เนื้อหาของข้อมูลบนโลกอินเทอร์เน็ตเสื่อมคุณภาพลง
.
ทั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญที่เป็นทั้งนักเขียน นักพูด นักข่าวและนักเคลื่อนไหวชาวแคนาดา-อังกฤษอย่าง Cory Doctorow ได้บัญญัติศัพท์คำหนึ่ง ซึ่งได้รับความนิยมในกลุ่มของนักเศรษฐศาสตร์ รวมถึงผู้เชี่ยวชาญสาขาต่างๆ ในเวลาต่อมา นั่นคือคำว่า “Enshittification” ด้วยเช่นกัน
.
Cory Doctorow ได้ระบุว่า “Enshittification” คำคำนี้สะท้อนให้เห็นความเสื่อมถอย ความล่มจม หรือคุณภาพที่ลดลงซึ่งไม่ได้เกิดจากความผิดพลาด แต่เป็นวัฏจักรที่ผู้ผลิตคอนเทนต์หรือ AI จงใจที่จะเปลี่ยนเราในฐานะ ‘ผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ต’ เป็นแหล่งรายได้สูงสุด ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิด AI Slop ในปัจจุบัน
.
กล่าวคือ แพลตฟอร์มหรือผู้ผลิตคอนเทนต์ รวมถึงผู้ให้บริการ AI เจ้าต่างๆ จะใช้กลยุทธ์สร้างรายได้ด้วยการดึงลดคุณภาพของข้อมูลเนื้อหาลง เพื่อเรียกร้องให้ผู้บริโภคยอมจ่ายเงินมากขึ้น ซึ่งน้อยคนนักที่จะต้านทาน เพราะกลยุทธ์ต่างๆ ถูกออกแบบมาอย่างแยบยล และแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะต่อต้านการซื้อเครื่องมือ AI ที่ให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าแม้จะต้องจ่ายแพงกว่า ในยุคที่ทุกคนมี AI แพ็กเกจพื้นฐานติดตัว
.
แล้วกลยุทธ์ ‘Enshittification’ ของผู้ผลิตที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์ AI Slop ตามความเห็นของ Cory Doctorow นั้นทำงานอย่างไร?
.
[ ] ขั้นแรก: ทุ่มทุนพัฒนา AI เพื่อซื้อใจ มอบความสะดวกสบายให้กับผู้ใช้งาน
.
ในยุคเริ่มต้น แพลตฟอร์มจะระดมทุนมหาศาลจากนักลงทุน และใช้เงินเหล่านั้นเพื่อมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับคนทั่วไป โดยในช่วงแรกแพลตฟอร์มจะเน้น ‘ผู้ใช้งานทั่วไป’ เป็นศูนย์กลาง และมอบความสะดวก สิทธิพิเศษ รวมถึงแพ็กเกจเสริมอื่นๆ ในราคาที่ต่ำกว่าทุน ซึ่งในกระบวนการแรกผู้คนก็จะสามารถเข้าถึงเครื่องมือ AI คุณภาพได้อย่างทั่วถึง และเคยชินกับการมี AI เป็นทางลัดของชีวิตในทุกวัน
.
[ ] ขั้นที่ 2: เริ่มถือไพ่เหนือกว่าผู้ใช้งาน
.
เมื่อผู้ใช้งาน AI เริ่มมีหลากหลายมากขึ้น ทั้ง Personal User และ Business User เราจะเริ่มรู้สึกว่าแพลตฟอร์มไม่มีทางเลือกที่ดีกว่าเสนอให้กับเราอีกแล้ว นี่จะเป็นช่วงที่แพลตฟอร์มหรือผู้พัฒนา AI จะเริ่มลดผลประโยชน์ของ ‘ผู้ใช้งานบัญชีทั่วไป’ หรือ Personal User เช่น การติดลิมิตเพื่อจำกัดเวลาหรือปริมาณข้อมูลในแต่ละครั้งของการใช้งาน หรือเสนอให้จ่ายเงินเพิ่มเพื่อซื้อฟังก์ชันที่มีประโยชน์อื่นๆ เพิ่มเติม
.
ยิ่งไปกว่านั้น แพลตฟอร์มจะเริ่มหันไปมอบผลประโยชน์ให้กับพันธมิตรทางธุรกิจแทน เช่น อนุญาตให้ธุรกิจสามารถปรับอัลกอริทึม เพื่อให้สินค้าของตนเองปรากฏเป็นอันดับต้นๆ ในการค้นหา เป็นต้น
.
[ ] ขั้นสุดท้าย: ลดคุณภาพเพื่อกำไรสูงสุด
.
ท้ายที่สุด เมื่อผู้ใช้งานทั่วไปและผู้ใช้งานแบบธุรกิจถูกระบบจดจำข้อมูล รวมถึงพฤติกรรมการใช้งานอินเทอร์เน็ตแล้ว แพลตฟอร์มก็จะเริ่มเข้าสู่ขั้นตอนการลดคุณภาพทั้งหมดกลับคืนไปเพื่อมอบกำไรให้กับผู้ถือหุ้นและตัวแพลตฟอร์มเอง
.
ผู้ใช้งานจะรู้สึกว่าต้อง ‘ยอมจ่าย’ ค่าธรรมเนียมในราคาที่สูงขึ้น เพื่อเข้าถึงคุณภาพของ AI หรือเครื่องมืออัลกอริทึมที่จำเป็นกับธุรกิจของตัวเองมากขึ้น
.
นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้เราต้องเผชิญกับ AI Slop ทั้งเครื่องมือค้นหาที่แย่ลง ทั้งผลการค้นหาคุณภาพต่ำ และในบางครั้งก็เต็มไปด้วยโฆษณา สปอนเซอร์ ซึ่งไม่ตรงกับข้อมูลที่อยากได้ โดยทางเลือกเดียวที่จะช่วยให้เราเข้าถึง ‘คุณภาพ’ ซึ่งเป็นมาตรฐานเดิมได้ก็คือการจ่ายเงินเพิ่มเท่านั้น
.
แล้วเราในฐานะที่เป็นผู้บริโภคหรือ ‘ผู้ใช้งานทั่วไป’ ในโลกอินเทอร์เน็ตจะทวงคืนสิทธิ์ของตัวเองได้อย่างไร?
.
.
รับมือกับ Enshittification และโลกที่เต็มไปด้วย AI Slop
.
แม้ว่าการต่อสู้กับกระแสของ AI และการแข่งกับภาคธุรกิจจะเป็นเรื่องใหญ่ อีกทั้งยังดูจะไม่ได้สร้างแรงเปลี่ยนแปลงอะไรมากในความคิดของใครบางคน แต่วิธีที่ Misison To The Moon ได้รวบรวมมาจากบทความ Medium นี้อาจจะช่วยให้ทุกคนเห็นทางออกที่สามารถเริ่มต้นที่ตัวเองได้
.
โดยวิธีทวงคืนคุณค่าของการค้นคว้า และพัฒนาคุณภาพของสื่อคอนเทนต์ในอินเทอร์เน็ตในยุค AI Slop มีดังต่อไปนี้
.
[ ] ฝึกฝนวิจารณญาณเพื่อแยกแยะระหว่าง AI Slop กับ ‘ข้อมูลคุณภาพ’
.
เราในฐานะผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตและผู้เสพคอนเทนต์จะต้องมีวิจารณญาณมากขึ้นในการสังเกต วิเคราะห์ และแยกแยะระหว่าง ‘ข้อมูลหรือเนื้อหาที่มีคุณภาพ’ ออกจาก AI Slop โดยเนื้อหาที่มีคุณภาพสูงจะต้องใช้ความตั้งใจ ใช้เวลา และสะท้อนความเป็นมนุษย์
.
โดยเนื้อหาที่สร้างจากมนุษย์จะให้ความรู้สึกจริงใจ จุดประกาย หรือเชื่อมโยงกับเรา แต่หากเนื้อหาของคอนเทนต์ใดก็ตามที่เรียบง่ายเกินไป ไวเกินไป หรือสมบูรณ์แบบเกินไปอาจเป็นสัญญาณของ AI Slop ที่ถูกสร้างขึ้นอย่างรวดเร็วและเน้นปริมาณก็ได้
.
[ ] ให้ความสำคัญกับ ‘ความสร้างสรรค์’ ของมนุษย์
.
ทางออกที่ทรงพลังที่สุดในการรับมือกับ AI Slop คือตัวผู้เสพคอนเทนต์ หรือผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตต้องให้ความสำคัญกับ ‘ความสร้างสรรค์ที่สร้างโดยมนุษย์’ จริงๆ รวมถึงให้คุณค่ากับความพยายามในการบ่มเพาะและฝึกฝนทักษะต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นผลงานศิลปะ หรือผลิตภัณฑ์ใดก็ตาม
.
ยิ่งไปกว่านั้น กุญแจสำคัญคือต้องให้คุณค่ากับงานสร้างสรรค์ที่ไม่ได้ทำเงิน หรือเน้นปริมาณเพื่อให้ทันเทรนด์ในโลกออนไลน์ เพราะประสบการณ์และการฝึกฝนของคนคนหนึ่งจะสะท้อนถึงความเป็นมนุษย์ผ่านผลงานได้ดีกว่า และสามารถส่งต่อคุณค่าที่ไม่ใช่ตัวเงินได้ดีกว่าด้วย ซึ่งถ้าเราสนับสนุนงานสร้างสรรค์ประเภทนี้ก็จะช่วยให้ผู้สร้างคอนเทนต์มีกำลังใจในการผลิตเนื้อหาที่มีคุณภาพสู่โลกอินเทอร์เน็ตมากขึ้น
.
.
Enshittification และ AI Slop เป็นสัญญาณเตือนว่าโลกกำลังหมุนตามแรงขับเคลื่อนของเงินทุนและกระแสใหม่ ๆ อย่างไม่หยุดยั้ง ซึ่งบ่อนทำลายคุณภาพของอินเทอร์เน็ตที่เรารู้จัก
.
แต่ถึงแม้โลกดิจิทัลจะเปลี่ยนไปจนแทบจะ 'กลับตาลปัตร' เรายังคงมีอำนาจในการเลือกที่จะเสพและสนับสนุนคอนเทนต์อย่างมีวิจารณญาณ และเลือกที่จะเป็นผู้สร้างสรรค์ที่ใช้เวลา ความรู้สึก และความจริงใจในการผลิตงานที่มีคุณภาพ
.
การยืนหยัดว่าคุณค่าของมนุษย์ไม่ได้ถูกกำหนดด้วยอัลกอริทึม คือการต่อสู้ที่เรียบง่ายแต่ทรงพลังที่สุด ในการทวงคืนความสุขของการสร้างสรรค์ และเอาชนะอิทธิพลของ AI Slop ที่กำลังครอบงำโลกของเราอยู่ในปัจจุบัน
.
.
อ้างอิง
- How Much Worse Could the Internet Get?: Jacob Bacharach, The New Republic - bit.ly/48iZKpp
- How to escape the AI era of internet enshittification: ItsCocobee, Medium - bit.ly/48tAbAB
.
.
#enshittification
#AISlop
#trend
#missiontothemoon
#missiontothemoonpodcast

2 days ago | [YT] | 41

Mission To The Moon

Innergy Planner 2026 สำหรับช่องทางออนไลน์หมดแล้วทุกสี ท่านที่ต้องการสามารถหาซื้อได้ที่ Kinokuniya และ B2S!
.
ตอนนี้ Mission To The Moon Innergy Planner 2025 ในช่องทางออนไลน์ Sold Out แล้วทุกสี แต่ใครที่ซื้อไม่ทันก็ยังมีสิทธิ์ลุ้น!
.
สำหรับลูกค้าที่กดสั่งซื้อ Innergy Planner 2025 ในช่องทางออนไลน์ของ Mission To The Moon ไม่ทันสามารถซื้อได้ที่หน้าร้านหนังสือ Kinokuniya ทุกสาขา (พารากอน เซ็นทรัลเวิร์ล และเอ็มควอเทียร์) และร้านหนังสือ B2S ในห้างสรรพสินค้าชั้นนำทั่วไป
.
🛒 B2S สาขาที่วางขาย Mission To The Moon Younique Planner 2025 (มีขายเพียงสี Noble Navy, Mellow Mint, และ Youthful Yellow เท่านั้น)
.
[ ] Westgate
[ ] Central Festival East Ville
[ ] Central Rama 3
[ ] Central Rama 2
[ ] Central Pinklao
[ ] Central Ladprao
[ ] Mega Bangna
[ ] Central World Plaza
[ ] Central RAMA9
[ ] Major Ratchayothin
[ ] Central Chidlom
[ ] Central SALAYA
[ ] Central Pattaya
[ ] Tesco Lotus Khon Kaen
[ ] Central Chiangmai
[ ] Central HADYAI
[ ] Central Phuket
*สามารถตรวจสอบจำนวนและสีเล่มแพลนเนอร์กับทางหน้าสาขาได้โดยตรง
.
Mission To The Moon ขอขอบคุณทุกการสนับสนุน คำแนะนำเพื่อพัฒนาต่อไปในอนาคต และกำลังใจจากทุกคน
.
.
#planner2025
#youniqueplanner2025
#missiontothemoon
#missiontothemoonpodcast

2 days ago | [YT] | 11

Mission To The Moon

“เพิ่งอ่านหนังสือเล่มหนึ่งเขาบอกว่า ถ้าคนเรามีกิจกรรมอย่างหนึ่งที่จะช่วยเรื่องความเครียดหรือสุขภาพจิตได้เยอะเหมือนกัน ซึ่งนั่นก็คือ ‘กิจกรรมที่ทำด้วยมือ’”
.
“มนุษย์เราถูกออกแบบมาให้มี ‘มือ’ กับ ‘ตา’ ที่ประสานกัน เป็นระบบที่มหัศจรรย์มาก ถ้าต้องทำให้หุ่นยนต์ทำงานประสานคู่ไปกับการมองเห็นนี่ถือเป็นระบบโปรแกรมมิงที่ยากมาก เพราะมันคือการประมวลผลที่ซับซ้อน เพราะฉะนั้นอะไรก็ตามที่ต้องใช้ตากับมือไปพร้อมๆ กันก็จะเป็นการฝึกสมองที่ดีมาก”
.
“นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมคนยังชอบเขียนหรือจดด้วยมือ หรือใช้สมุดที่เป็นกระดาษจริงๆ อยู่ เพราะมันช่วยให้เราคิดออกได้มากกว่าการพิมพ์”
.
“ในยุคที่เราถูกดึงด้วยอะไรต่างๆ นานามากมาย จนทำให้ ‘สมาธิ’ หาได้ยากเหลือเกิน มันทำให้สมาธิกลายเป็นของที่มีค่า ความสามารถในการโฟกัสอะไรบางอย่างก็เป็นของที่มีค่า”
.
“พอเราตั้งใจทำอะไรสักอย่างที่สนุก ทำแล้วมีความสุขก็จะทำให้เราโฟกัสกับสิ่งนั้นได้นานพอสมควร เพราะเราจะรู้สึกอยากตั้งใจที่จะทำมัน”
.
การพักผ่อนที่แท้จริงเป็นแบบไหน?
.
“จริงๆ ความรู้สึกเวลาไม่คาดหวังอะไร หรืองานที่เราทำโดยไม่ต้องคาดหวังอะไร ก้ำกึ่งมากในตอนทำเพราะไม่รู้ว่าสิ่งนี้เรียกว่างานหรือเปล่า เพราะเราไม่ได้คาดหวังอะไรกับมันและเราสนุกที่จะได้ทำ ผมว่าเป็นการพักผ่อน”
.
“คิดว่าทุกอย่างถือเป็นการพักผ่อนได้หมด ตราบใดที่เราไม่ได้เอาจริงเอาจังกับมัน มีการพักผ่อนหลายรูปแบบมาก เช่น การอ่านหนังสือ การวาดรูป การนอนเล่น การดูฟุตบอล การออกไปเดินเล่นในสนามหญ้า”
.
“การไถมือถือก็อาจจะนับว่าพักผ่อนได้ เพราะเราไถเพลินๆ แต่ถ้าเล่นไปสักพักเราจะรู้สึกว่าเราถูกกระตุ้นมากเกินไป อาจจะอิจฉาคนอื่น อาจจะรู้สึกว่าตัวเองยังไม่เก่งพออยู่เรื่อยๆ”
.
งานอดิเรกที่ทำแล้วช่วยเสริมทักษะอื่นๆ?
.
“วิศวกรญี่ปุ่นคนหนึ่งมีงานอดิเรกคือการดูนก ซึ่งรถไฟในญี่ปุ่นก่อนหน้านี้จะเป็นรุ่นที่มีแรงเสียดทานสูง ตอนวิ่งก็จะดังแล้วก็เปลืองพลังงาน ระหว่างที่เขาคิดดีไซน์ใหม่ของรถไฟความเร็วสูงอยู่นั้นก็เปิดรูปนกดูไปเรื่อยๆ”
.
“แล้วเขาเปิดไปเจอรูปของ ‘นกกระเต็น’ ที่ดิ่งหัวลงไปในน้ำโดยที่น้ำไม่กระเด็นเลย เขาเลยคิดขึ้นมาว่า ‘รูปร่างหัวของนกกระเต็นอาจจะเป็นรูปร่างที่ช่วยลดแรงเสียดทาน?’ เขาเลยทำการทดลองกับการออกแบบรถไฟความเร็วสูง สุดท้ายก็กลายเป็น ‘ชินคันเซ็น’ ที่เรารู้จักกัน”
.
“บางทีวาดรูปเล่นก็ทำให้เราคิดบทความออก หรือบางทีการอยู่ในสภาวะที่ผ่อนคลายก็ทำให้เราเกิดไอเดียบางอย่างขึ้นมา”
.
“การที่เรามีงานอดิเรก หรือมีกิจกรรมพักผ่อนไม่ได้แปลว่าเราต้องปรับใช้ทักษะจากงานอดิเรกกับงานหลักของเราโดยตรงเสมอไป แต่ก็ไม่ใช่ว่ามันจะไม่สนับสนุนหรือสอดคล้องกับงานหลักเลย”
.
“เราสามารถกันเวลาให้กับเรื่องไร้สาระในแต่ละวันให้ตัวเองได้มีความสุขไปกับเรื่องบ้าๆ บอๆ หรือทำอะไรก็ได้ ขี้เกียจได้ เละๆ เทะๆ ก็ได้นะ”
.
.
บทสนทนาระหว่าง ‘แทป รวิศ หาญอุตสาหะ’ กับ ‘เอ๋ สราวุธ เฮ้งสวัสดิ์’ หรือ ‘นิ้วกลม’ ใน แอปเท๋ Dinner Talk EP.25 | ‘พักผ่อนให้เป็น’ เรื่องง่ายๆ ที่นักธุรกิจส่วนใหญ่มองข้าม! ที่จะชวนทุกคนมาหยุดพักเพื่อฟื้นฟูตัวเองกันอย่างแท้จริง
.
สามารถรับชม ‘พักผ่อนให้เป็น’ เรื่องง่ายๆ ที่นักธุรกิจส่วนใหญ่มองข้าม! | แอปเท๋ Dinner Talk EP.25 ฉบับเต็มได้ที่: https://youtu.be/1ST-j8Kf6vY
.
.
#ธุรกิจ
#แรงบันดาลใจ
#selfdevelopment
#แอปเท๋dinnertalk
#missiontothemoonpodcast

3 days ago | [YT] | 92

Mission To The Moon

#missionชวนคุย มาแชร์กันว่า...

4 days ago | [YT] | 129

Mission To The Moon

"เลือกจากความชัดเจน ไม่ใช่ความเจ็บปวด" ทำไมการตัดสินใจตอน "เจ็บ" มักพาเราไปผิดทาง?
.
มีความจริงข้อหนึ่งที่หลายคนใช้เวลาหลายปีกว่าจะยอมรับได้ นั่นคือ ชีวิตมักจะเจ็บปวดเสมอไม่ว่าจะเลือกทางไหน
[ ] ขี้เกียจออกกำลังกาย ก็เจ็บเพราะสุขภาพพัง แต่ถ้าลากตัวไปยิม ก็เจ็บเพราะต้องฝืนใจ
[ ] อยู่คนเดียว ก็เจ็บเพราะเหงา มีความสัมพันธ์ ก็เจ็บเพราะต้องเปิดใจและทำงานทางอารมณ์
[ ] นอนดูซีรีส์ทั้งวัน ก็เจ็บเพราะรู้สึกว่างเปล่า แต่พอลุกขึ้นมาทำงาน ก็เจ็บเพราะเหนื่อย
.
ดังนั้น เราจึงสามารถเห็นธรรมชาติของอารมณ์ได้ว่าไม่มีทางเลือกไหนที่ไม่เจ็บ มีแค่ให้เลือกว่าจะเจ็บแบบไหน แต่ปัญหาคือ คนส่วนใหญ่มักตัดสินใจตอนที่กำลังเจ็บอยู่ และนั่นคือจุดที่ทำให้เราเลือกผิดทางซ้ำแล้วซ้ำเล่า
.
.
เมื่อสมองถูก "ยึดครอง" โดยอารมณ์
.
Daniel Goleman นักจิตวิทยาผู้เขียนหนังสือ Emotional Intelligence (1995) เรียกปรากฏการณ์นี้ว่า "Amygdala Hijack" หรือการที่สมองส่วนอารมณ์ "ยึดครอง" สมองส่วนคิดวิเคราะห์
.
Amygdala คือชื่อส่วนของสมองที่ทำหน้าที่ประมวลผลอารมณ์และตอบสนองต่อภัยคุกคาม เมื่อเรารู้สึกเจ็บ เหงา กลัว หรือถูกคุกคาม Amygdala จะทำงานเร็วกว่าสมองส่วน Prefrontal Cortex ซึ่งเป็นส่วนที่ควบคุมการคิดอย่างมีเหตุผลและการตัดสินใจ
.
ผลลัพธ์คือ เราตอบสนองโดยไม่ได้คิด เพราะสมองส่วนอารมณ์ "ยึดครอง" สมองส่วนคิดไปก่อนที่เราจะทันได้ใช้เหตุผล นี่คือเหตุผลว่าทำไมหลายคนถึงตัดสินใจบางอย่างแล้วมานึกหรือเสียใจทีหลังว่า "เพราะอะไร ถึงตัดสินใจไปแบบนั้นนะ / ตอนนั้นเราคิดอะไรอยู่?"
.
.
Pain หรือความเจ็บปวดทำให้เราเห็นโลกบิดเบี้ยว
.
งานวิจัยของ Mara Mather จาก University of Southern California ที่ตีพิมพ์ใน Current Directions in Psychological Science (2012) พบว่าเมื่อคนเราอยู่ภายใต้ความเครียด สมองจะโฟกัสไปที่ข้อดีของตัวเลือกมากขึ้น และมองข้ามข้อเสียไปอย่างน่าตกใจ
.
พูดง่ายๆ คือ ตอนที่เราเครียดหรือเจ็บ เราจะมองคนหรือสิ่งที่อยู่ตรงหน้าดีกว่าความเป็นจริงเสมอ เพราะสมองอยากหาทางออกจากความเจ็บปวดโดยเร็วที่สุด
.
ซึ่งงานวิจัยนี้สามารถอธิบายได้ว่าทำไมคนที่เหงามากๆ ถึงมักเลือกคนที่ "อยู่ใกล้ที่สุดตอนนั้น" แทนที่จะเลือกคนที่ "ใช่จริงๆ" หรือทำไมคนที่เครียดกับงานถึงรีบกระโดดไปงานใหม่ ทั้งที่ยังไม่ได้คิดให้รอบคอบว่างานนั้นเป็นงานที่ใช่แล้วหรือยัง
.
ความเจ็บปวดทำให้เรามองเห็นตัวเองต่ำกว่าความเป็นจริง มองคนอื่นดีกว่าความเป็นจริง รีบคว้าอะไรก็ได้เพื่อปิดรูโหว่ในใจ และเลือกสิ่งที่ทำให้ปัจจุบันหายเจ็บ แทนที่จะเลือกสิ่งที่ทำให้อนาคตดีขึ้น
.
ปรากฏการณ์นี้แทบไม่ต่างจากการไปซื้อของตอนหิวจัด สุดท้ายก็หอบขนมกลับมาเต็มถุง ทั้งที่ตั้งใจจะซื้อแค่ไม่กี่อย่างเท่านั้น สุดท้ายก็ทำให้หลายๆ คนต้องมานึกเสียดายกับการตัดสินใจในภายหลัง
.
.
Pain vs. Choice ต่างกันยังไง?
.
ลองนึกภาพคนที่เพิ่งเลิกกับแฟนแล้วรู้สึกเหงามากๆ กับคนที่ใช้ชีวิตอยู่ดีๆ แล้วเจอคนที่น่าสนใจ ทั้งสองคนอาจตัดสินใจเริ่มความสัมพันธ์ใหม่เหมือนกัน แต่ "แรงจูงใจ" ที่อยู่เบื้องหลังต่างกันโดยสิ้นเชิง
.
คนแรกเลือกเพราะอยากหนีจากความเจ็บปวด คนที่สองเลือกเพราะเห็นว่าคนนี้เข้ากับชีวิตที่ตัวเองอยากมี นี่คือความแตกต่างระหว่าง Pain กับ Choice
.
การตัดสินใจจาก Pain หรือความเจ็บปวด เป็นการตัดสินใจที่เกิดจากความกลัว ความเหงา หรือความต้องการหนีจากความรู้สึกแย่ๆ ตรงหน้า เป้าหมายหลักคือ "ทำให้หายเจ็บตอนนี้" ไม่ใช่ "ทำให้ชีวิตดีขึ้นในระยะยาว" ผลลัพธ์จึงมักเป็นการ "คว้า" อะไรก็ได้ที่อยู่ใกล้มือ โดยไม่ได้ประเมินว่าสิ่งนั้นเหมาะกับเราจริงหรือไม่
.
ส่วนการตัดสินใจจาก Choice หรือตัวเลือก เป็นการตัดสินใจที่เกิดจากความชัดเจน ความสงบ และความตั้งใจจริง เป้าหมายคือ "สิ่งที่สอดคล้องกับชีวิตที่เราอยากมี" ไม่ใช่แค่สิ่งที่ทำให้รู้สึกดีขึ้นชั่วคราว ผลลัพธ์คือการ "เลือก" อย่างมีสติ โดยประเมินทั้งข้อดีและข้อเสีย ทั้งปัจจุบันและอนาคต
.
คำถามสำคัญที่ช่วยแยกแยะคือ "ถ้าตอนนี้ไม่ได้เจ็บ ไม่ได้กลัว ไม่ได้เหงา ฉันจะยังเลือกเหมือนเดิมไหม?"
ถ้าคำตอบคือ "ใช่" นั่นคือ Choice
ถ้าคำตอบคือ "ไม่แน่ใจ" นั่นคือสัญญาณว่า Pain กำลังตัดสินใจแทนเรา
.
.
รอให้อารมณ์ผ่านไป แล้วค่อยตัดสินใจด้วย ‘กฎ 90 วินาที’
.
ถ้าเราตัดสินใจตอนที่อารมณ์กำลังพุ่งสูง ผลลัพธ์มักจะไม่ดี แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าตอนไหนควรรอ ตอนไหนพร้อมเลือก?
.
Dr. Jill Bolte Taylor นักประสาทวิทยาจาก Harvard และผู้เขียนหนังสือ My Stroke of Insight เสนอแนวคิดที่เรียกว่า "กฎ 90 วินาที" ที่ช่วยให้เราแยกแยะระหว่างอารมณ์ที่เกิดขึ้นจริงกับอารมณ์ที่เราเลือกจะอยู่กับมันต่อได้ดีขึ้น
.
เธออธิบายว่าเมื่อเราถูกกระตุ้นทางอารมณ์ สมองจะหลั่งสารเคมีที่ทำให้เราอยู่ในโหมด "สู้หรือหนี" (Fight or Flight) แต่นี่คือจุดสำคัญ สารเคมีเหล่านี้จะถูกขับออกจากร่างกายภายในเวลาประมาณ 90 วินาทีเท่านั้น
.
นั่นหมายความว่า "คลื่นอารมณ์" ที่ถาโถมเข้ามานั้น จริงๆ แล้วมีอายุสั้นมาก ถ้าเราปล่อยให้มันผ่านไปโดยไม่ตอบสนอง มันจะค่อยๆ จางหายไปเอง
.
.
แล้วทำไมอารมณ์ถึงอยู่นานกว่านั้น?
.
Dr. Taylor ชี้ว่าหากหลังจาก 90 วินาทีผ่านไปแล้ว เรายังคงรู้สึกโกรธ กลัว หรือเจ็บปวดอยู่ นั่นไม่ใช่เพราะสารเคมีในร่างกายอีกต่อไป แต่เป็นเพราะเรา "เลือก" ที่จะอยู่ในวงจรอารมณ์นั้นต่อ
.
เราเลือกโดยการคิดถึงเรื่องเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า เล่าเรื่องเดิมในหัวไม่หยุด ซึ่งทุกครั้งที่คิด สมองก็จะหลั่งสารเคมีชุดใหม่ออกมาอีก วนเป็นลูปไม่รู้จบ พูดง่ายๆ คือ 90 วินาทีแรกเป็นปฏิกิริยาอัตโนมัติของร่างกาย แต่หลังจากนั้นเป็น "ทางเลือก" ของเรา
.
เมื่อรู้สึกถูกกระตุ้นทางอารมณ์อย่างรุนแรง ไม่ว่าจะเป็นความโกรธ ความเจ็บ หรือความกลัว ให้ลองทำตามขั้นตอนนี้
.
[ ] ขั้นแรก หยุดก่อน อย่าตอบสนองทันที ถ้าเป็นไปได้ ให้มองนาฬิกาหรือจับเวลา 90 วินาที
.
[ ] ขั้นที่สอง หายใจลึกๆ โฟกัสที่ลมหายใจ สังเกตว่าร่างกายรู้สึกอย่างไร หัวใจเต้นเร็วขึ้นไหม ไหล่เกร็งไหม มือสั่นไหม
.
[ ] ขั้นที่สาม ปล่อยให้คลื่นผ่านไป อย่าพยายามกดอารมณ์ แต่ก็อย่าเติมเชื้อไฟด้วยการคิดวนซ้ำ แค่สังเกตมันเหมือนดูคลื่นในทะเลที่ซัดเข้ามาแล้วก็ถอยออกไป
.
[ ] ขั้นสุดท้าย เมื่อ 90 วินาทีผ่านไป ค่อยถามตัวเองว่า "ตอนนี้ฉันพร้อมตัดสินใจด้วยความชัดเจนหรือยัง?" ถ้ายังไม่พร้อม ก็รอต่อได้ ไม่มีใครบังคับให้ต้องรีบ
.
เพราะการตัดสินใจที่ดีที่สุดมักไม่ได้เกิดขึ้นในช่วง 90 วินาทีแรกที่อารมณ์พุ่งสูง การที่เราให้เวลาตัวเองแค่ 90 วินาที อาจเป็นความแตกต่างระหว่างการพูดอะไรบางอย่างที่ต้องมานั่งเสียใจทีหลัง กับการตอบสนองอย่างมีสติที่เราภูมิใจได้
.
ดังนั้น 90 วินาทีนี้ แม้จะเป็นช่วงเวลาที่ไม่นาน แต่มันอาจเปลี่ยนทิศทางของการตัดสินใจครั้งสำคัญได้ทั้งหมด
.
[ ] ลองใช้หลักนี้กับความรัก ก่อนจะให้ใจใคร ลองถามตัวเองตรงๆ ว่า
"ฉันชอบเขา หรือฉันแค่ไม่อยากอยู่คนเดียว?"
"ฉันอยากให้เขาเข้ามา หรืออยากให้ความเหงาหายไป?"
"ฉันเลือกเขาเพราะเขาดีจริง หรือเพราะเขาอยู่ใกล้ที่สุดตอนนี้?"
ถ้าคำตอบคือข้อหลัง นั่นคือสัญญาณว่าเรากำลังเลือกจาก Pain ไม่ใช่ Choice
.
[ ] ลองใช้กับงานและโอกาส
งานที่ดีคืองานที่ "ใช่" ในระยะยาว ไม่ใช่งานที่แค่ช่วยให้เราหนีจากเจ้านายเดิม หนีความเบื่อ หรือหนีปัญหาที่ยังไม่ได้แก้
Choice จะถามว่า "งานนี้พาเราไปชีวิตที่อยากมีไหม?"
Pain จะถามแค่ว่า "งานนี้ทำให้หายเครียดตอนนี้ไหม?"
.
.
เพราะความจริงที่หลายๆ คนยังนึกไม่ถึงก็คือ เป็นเรื่องปกติที่ชีวิตจะต้องพบกับความเจ็บปวด ไม่ว่าจะเลือกทางไหน แต่ถ้าต้องเจ็บก็ควรเลือกความเจ็บที่คุ้มค่า และที่สำคัญกว่านั้น คืออย่าเลือกตอนที่ใจกำลังเจ็บ
.
การตัดสินใจที่ดี ต้องเกิดตอนที่ใจเรานิ่งพอจะเห็นความจริง
และเลือกจากความตัวเลือกที่ชัดเจน ไม่ใช่เลือกเพราะหลีกหนีจากความเจ็บปวด
.
.
อ้างอิง
- Amygdala Hijack: When Emotion Takes Over: Kimberly Holland, Healthline - bit.ly/4pMie7C
- Choose Your Pain: Life Hurts Anyway, So Pick the One That Builds You: Aishwarya, Medium - bit.ly/48JivlQ
.
.
#Life
#MentalHealth
#EmotionalIntelligence
#MissionToTheMoon
#MissionToTheMoonPodcast

5 days ago | [YT] | 221

Mission To The Moon

“เราทุกคนมีเวลา 24 ชั่วโมงเท่ากัน”
.
ประโยคติดหูที่ทุกคนต้องเคยได้ยินแน่นอน เมื่อใดก็ตามที่เรากำลังพูดถึงหัวข้อของการบริหารเวลา
.
ปัญหาของการบริหารจัดการเวลานั้น เป็นปัญหาที่ไม่ว่าจะผ่านมากี่ยุคกี่สมัย ก็สร้างความปวดหัวให้กับเหล่าคนทำงานทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็นคนทำงานอิสระ เด็กจบใหม่ หรือพนักงานระดับ Middle Management
.
อย่างไรก็ตาม ในหมวดหมู่ของคนทำงาน บุคคลที่ทุกคนน่าจะมีความเห็นตรงกันว่ายุ่งที่สุดก็คือ “CEO” โดยเฉพาะ CEO ระดับโลกที่ต้องเผชิญกับความท้าทายที่ซับซ้อนตลอดทั้งวัน ประชุมต่อเนื่องตั้งแต่เช้าจรดเย็น อีเมลที่ไหลเข้ามาไม่หยุด และการตัดสินใจที่มีผลกระทบต่อธุรกิจมูลค่าหลายพันล้าน ซึ่งทั้งหมดนี้ต้องเกิดขึ้นภายในวันเดียวกัน
.
แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ CEO ระดับโลกเหล่านี้ก็มีเวลาเพียง 24 ชั่วโมงเหมือนกับคนทั่วไป แค่เรื่องงานก็ยุ่งจะแย่แล้วยังต้องแบ่งเวลาไปให้ครอบครัวอีก ดังนั้นจึงพอจะพูดได้ว่าความแตกต่างระหว่าง CEO เหล่านี้กับคนทั่วไปไม่ได้อยู่ที่ปริมาณของเวลาที่มี แต่อยู่ที่วิธีการใช้เวลานั้นอย่างมีสติและเป็นระบบอีกด้วย
.
ซึ่งนำมาสู่คำถามว่า แล้ว CEO ระดับโลกเหล่านี้เขาบริหารจัดการตารางชีวิตอย่างไร?
.
ดังนั้น ลองไปรู้จักเครื่องมือบริหารเวลาที่ CEO ระดับโลกเลือกใช้จริงกันดีกว่า
.
.
Time Blocking : แบ่งเวลาทำงานให้ชัดเจน
.
Time Bloicking คือเทคนิคที่ Bill Gates และ Elon Musk ใช้อย่างจริงจังคือการแบ่งวันออกเป็นช่วงเวลาขนาด 5-15 นาที แต่ละช่วงมีภารกิจเฉพาะที่วางแผนไว้ล่วงหน้า ไม่ใช่แค่การจดตารางนัดหมาย แต่คือการออกแบบวันทั้งวันเป็นบล็อก
.
เมื่อตั้งบล็อกเวลาไว้สำหรับงานไหน ก็ทำเฉพาะงานนั้น ไม่เช็กอีเมล ไม่รับโทรศัพท์ที่ไม่จำเป็น การควบคุมวันแบบนี้ทำให้ CEO เหล่านี้สามารถจัดการงานซับซ้อนหลายโปรเจกต์พร้อมกัน โดยไม่รู้สึกท่วมท้นหรือ Burnout ไปเสียก่อน
.
Marc Andreessen ผู้ร่วมก่อตั้ง Netscape เคยบอกว่าเขาวางแผนปฏิทินล่วงหน้าเป็นเดือน และแทบไม่มีช่องว่างเลยในแต่ละวัน เพราะถ้าไม่กำหนดเวลาเอาไว้ งานก็จะไหลเข้ามาเองโดยไม่มีทิศทาง
.
.
Eat That Frog : เริ่มวันด้วยงานที่ยากที่สุด
.
Brian Tracy ผู้เขียนหนังสือขายดีเล่มนี้ยกคำพูดของ Mark Twain มาใช้ว่า "ถ้าคุณต้องกินกบ ให้ทำตอนเช้าเป็นอันดับแรก แล้วไม่มีอะไรแย่ไปกว่านั้นอีกตลอดทั้งวัน" หลักการง่ายๆ คือเริ่มวันด้วยงานที่ท้าทายที่สุด ยากที่สุด หรือสำคัญที่สุด ก่อนที่จะทำอย่างอื่น
.
Anna Wintour บรรณาธิการตำนานของ Vogue เล่าว่าเธอตื่นเช้าตีห้าเพื่อออกกำลังกายและวางแผนวัน จากนั้นจะเข้าออฟฟิศตั้งแต่หกโมงเช้าเพื่อจัดการงานสำคัญที่ต้องใช้สมองสูง เช่น การตัดสินใจเกี่ยวกับปกนิตยสาร หรือการอนุมัติเนื้อหาสำคัญ ตอนนั้นสมองยังสดชื่น ไม่มีใครรบกวน และเต็มไปด้วยพลังงาน
.
Tim Cook CEO ของ Apple ก็เป็นอีกคนที่มีนิสัยคล้ายกัน เขาเริ่มส่งอีเมลให้ทีมตั้งแต่ตีสี่ครึ่ง และมักจะอยู่คนแรกในออฟฟิศ เพื่อใช้เวลาช่วงเช้าที่เงียบสงบนี้ทำงานที่ต้องการสมาธิสูง ก่อนที่วันจะเริ่มเต็มไปด้วยประชุมและเรื่องเร่งด่วนต่างๆ
.
เทคนิคนี้ไม่ได้หมายความว่าต้องตื่นตีสี่ แต่คือการหาช่วงเวลาที่สมองคุณทำงานได้ดีที่สุด แล้วเก็บเอาไว้สำหรับงานที่สำคัญที่สุด เมื่อ "กบ" ตัวใหญ่ที่สุดถูกจัดการไปแล้ว สิ่งที่เหลือในวันก็รู้สึกเบาลงทันที
.
.
The Two-Minute Rule : งานไหนทำเสร็จได้ภายใน 2 นาทีให้ทำเลย
.
David Allen ผู้เขียนหนังสือ "Getting Things Done" เคยบอกว่าถ้างานไหนทำเสร็จภายในสองนาที ก็ทำเลย อย่ารอ อย่าเก็บไว้ในลิสต์ อย่าตั้งเวลาเพื่อกลับมาทำทีหลัง
.
Reid Hoffman ผู้ร่วมก่อตั้ง LinkedIn เคยพูดถึงความสำคัญของการตัดสินใจเร็วในเรื่องเล็กๆ เพื่อประหยัดพลังสมองสำหรับเรื่องใหญ่ๆ ที่สำคัญจริงๆ กฎสองนาทีช่วยให้เขาไม่ต้องเสียพลังงานมาคิดซ้ำๆ กับงานเดิมๆ ที่จริงแล้วแค่ทำไปเลยก็เสร็จ
.
อย่างไรก็ตาม เครื่องมือบริหารเวลาเหล่านี้ไม่ใช่สูตรวิเศษที่จะเปลี่ยนวันของคุณในชั่วข้ามคืน แต่คือระบบที่ถ้าฝึกฝนจนเป็นนิสัย จะช่วยให้คุณควบคุมเวลาได้มากขึ้น แทนที่จะปล่อยให้เวลาควบคุมคุณ
.
ดังนั้น ถ้าหากใครอยากรู้เทคนิคในการบริหารเวลาและจัดการชีวิตให้ตรงกับความต้องการของตัวเองอย่างแท้จริงแล้วละก็ห้ามพลาด!
.
🚀คอร์ส Level-Up Your Work-Life ทำงานให้ Pro เพื่อชีวิตที่ Flow เปิดให้เรียนออนไลน์ย้อนหลังตลอดชีพ! สอนโดย 2 วิทยากรชั้นนำของประเทศไทย
.
1. รวิศ หาญอุตสาหะ CEO, Srichand & Mission To The Moon Media
2. ผศ.ดร. กฤตินี เพิ่มทรัพย์ เจ้าของเพจ "เกตุวดี Marumura" อาจารย์ด้านการตลาด ผู้มีประสบการณ์สอนในมหาวิทยาลัย 10+ ปี
.
ตั้งแต่ระบบการทำงานที่ “ทำน้อยแต่ได้มาก” ในแบบฉบับของคุณเอง ควบคู่ไปกับการสร้าง Personal Vision อย่างเป็นระบบ การจัดการพลังงานแบบยั่งยืน การออกแบบเป้าหมายที่ "ทำได้จริง" ไปจนถึงการสร้างระบบติดตามที่ทำให้คุณไม่หลุดทางกลางคัน
.
หากใครก็ตามที่ต้องการจะหลุดออกจากรูทีนซ้ำๆ เดิมๆ อยากมีเป้าหมายชัดเจนแต่ยังไม่รู้จะเริ่มต้นยังไงให้มันเกิดขึ้นได้จริง ภายในหลักสูตรนี้ คุณจะได้เรียนรู้ทุกขั้นตอนของการออกแบบชีวิตที่มี Impact ห้ามพลาดเด็ดขาด!
.
🔥ราคาคอร์ส Recording Session
💰 ราคา 3,200 บาท (จ่ายครั้งเดียวเรียนได้ตลอดชีพ)
📅เปิดรับสมัครวันที่ 11 ธันวาคม 2568 เป็นต้นไป
📹เริ่มเรียนย้อนหลังได้ตั้งแต่วันที่ 22 ธันวาคม 2568 เป็นต้นไป
❤️‍🔥เมื่อสมัครภายใน 11-15 ธันวาคม 2568 รับส่วนลดพิเศษ 300.- ทันที (เหลือ 2,900 บาท จาก 3,200 บาท)
.
📌สำหรับใครที่กลัวพลาด ลงทะเบียนกรอกข้อมูลเพื่อแสดงความสนใจเอาไว้ก่อนได้ที่ forms.gle/5FumyCp2BvsDGkCK7 แล้วเมื่อเปิดให้ซื้อคอร์สได้เมื่อไร ทีมงานจะติดต่อไปทันที!
.
สอบถามเพิ่มเติม LINE OA: @missiontothemoon
.
.
#LevelUpYourWorklife
#Productivity
#Life
#Work
#missionacademy

5 days ago | [YT] | 39