🦖BorntoDev Channel คือ ช่องยูทูปที่เน้นสาระด้านเทคโนโลยี ไปพร้อมกับความสนุกสนาน และ รอยยิ้มเข้าไว้ด้วยกันทั้งในรูปแบบบทเรียน และ vlog

เพื่อการเปลี่ยนรูปแบบการเรียนรู้ด้านการพัฒนาโปรแกรม และ เทคโนโลยีแบบเดิม ๆ ที่เป็นเรื่องเฉพาะกลุ่มให้เข้าถึง เข้าใจได้ง่ายยิ่งขึ้น โดยพัฒนาเน้นไปที่รูปแบบการนำเสนอใหม่ ๆ ที่เป็นมิตรกับทุกคน โดยมีผู้ดำเนินรายการหลักคือ

"เปรม BorntoDev" ผู้ชื่นชอบ และ หลงไหลด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี รวมถึงการพัฒนาโปรแกรมเป็นชีวิตจิตใจ มีความสุขมากที่ได้ถ่ายทอด และ แลกเปลี่ยนความรู้ เพราะทำให้นึกถึงสมัยยังเป็นเด็กที่เริ่มต้นเขียนโปรแกรมแล้วได้รับการสนับสนุนจากผู้ใหญ่ใจดีในโลก Internet ที่ไม่เคยเห็นหน้าตากันมาก่อน


▲ ติดตามช่องของเราได้ที่ : bit.ly/borntoDevSubScribe
▲ Facebook : www.facebook.com/borntodev
▲ Website : www.borntodev.com


BorntoDev

ทุกวันนี้เทคโนโลยีเปลี่ยนเร็วกว่าที่เราคิด 🧠
หลายอาชีพหายไป แต่ “คนที่ไม่หยุดเรียนรู้” ยังอยู่เสมอ
.
เพราะโลกยุคนี้ไม่ได้วัดกันที่ปริญญา แต่วัดกันที่ “สกิลที่อัปเดตล่าสุด”
และ BorntoDev+ คือคอร์สบุฟเฟต์ที่ให้คุณอัปเดตสกิลได้ทุกเดือน
โดยไม่ต้องจ่ายแพงเหมือนแต่ก่อน 💡
.
✨ เฉลี่ยเพียง 166 บาท/เดือน
คุณจะได้เรียนทุกคอร์ส ไม่จำกัดหมวด
ทั้งสาย Dev, Data, Design, AI และอีกมากมาย
พร้อมแจ้งเตือนคอร์สใหม่และเรียนสดก่อนใคร!
.
⏰ โปรโมชั่นราคานี้ “สิ้นสุดสิ้นเดือนนี้”
อย่ารอให้เดือนหน้าเริ่มแพง แล้วค่อยเริ่มเรียน
เพราะคนที่เริ่มก่อน มักได้โอกาสก่อนเสมอ 💪
.
👉 เริ่มลงทุนในอนาคตของคุณวันนี้: bornto.dev/sub
.
#BorntoDevPlus #อัปสกิลสายเทค #เรียนออนไลน์ #TechCareer

1 week ago | [YT] | 11

BorntoDev

⚡️ 10.10 ลดสูงสุดกว่า 70%
📅 เฉพาะวันที่ 9 – 10 ตุลาคม 2568
⏰ เริ่มเวลา 21.00 น. เป็นต้นไป
💥 จำกัดเพียง 20 สิทธิ์ต่อวันเท่านั้น!
.
✨ กับ 4 เส้นทางอาชีพสุดฮิตที่คนแห่สมัครมากที่สุดตอนนี้!
🗓️ วันที่ 9 ต.ค. 2568 เวลา 21.00 น.
🎨 UX/UI Designer → เข้าใจผู้ใช้ เล่าเรื่องผ่านดีไซน์
👉 bornto.dev/UX-UI-Bundle
📊 Data Analyst → วิเคราะห์ข้อมูลจนเห็น Insight ที่ซ่อนอยู่
👉 bornto.dev/DA-Bundle
.
🗓️ วันที่ 10 ต.ค. 2568 เวลา 21.00 น.
💻 Front-End Developer → สร้างเว็บสวย ใช้งานได้จริง
👉 bornto.dev/FE-Bundle
⚙️ Back-End Developer → วางระบบหลังบ้านให้ธุรกิจทำงานได้ 24 ชม.
👉 bornto.dev/BE-Bundle
.
อย่ารอจนหมดเวลา...เพราะโอกาสเปลี่ยนชีวิตครั้งนี้ มีแค่ 2 วัน! ⏳
.
🌟 BorntoDev – เส้นทางสู่อนาคตสายเทค เริ่มได้ที่นี่
.
#FrontEndDeveloper #BackEndDeveloper #UXUIDesigner #DataAnalyst #BorntoDev #เรียนออนไลน์ #1010Sale #สายอาชีพTECH #ย้ายสายงาน #Upskill #FlashSale #ลดแรง2วันเท่านั้น

2 weeks ago | [YT] | 15

BorntoDev

🚨 FLASH SALE แค่ 2 วันเท่านั้น!
📅 9 – 10 ตุลาคม | ⏰ เริ่มเวลา 21.00 น.
⚡ จำกัดเพียง 20 ท่านแรกเท่านั้น!”
.
🔥 BorntoDev ทนกระแสไม่ไหว ลดแรงทะลุจอ!
ใครกำลังคิดจะ “เปลี่ยนสายงาน – อัปสกิลเทค” บอกเลยว่าพลาดไม่ได้เด็ดขาด 🚀
.
💭 เคยไหม...ทำงานเดิมทุกวัน เหมือนชีวิตมันวนลูป
เงินเดือนเท่าเดิม แต่ใจอยากลองเข้าสายเทค — เห็นคนอื่นได้เงินเพิ่ม แต่เรายังอยู่ที่เดิม 💸
.
พอจะเริ่มเองก็ไม่รู้จะเริ่มตรงไหนก่อน 😩
เรารู้ดี เพราะทีม BorntoDev ก็เคยอยู่ตรงจุดนั้น!
เลยสร้าง Roadmap อาชีพสายเทค ที่จะพาคุณ “เดินตามเส้นทางจริงของคนในวงการ”
เรียนตามลำดับที่ถูกต้อง ไม่ต้องงมเองอีกต่อไป 💪
.
✨ 4 เส้นทางอาชีพสุดฮิตที่คนแห่สมัครมากที่สุดตอนนี้!
🎯 วันนี้เปิดขายแล้ว! (9 ต.ค. 21.00 น.)
🎨 UX/UI Designer → เข้าใจผู้ใช้ เล่าเรื่องผ่านดีไซน์
👉 bornto.dev/UX-UI-Bundle
📊 Data Analyst → วิเคราะห์ข้อมูลจนเห็น Insight ที่ซ่อนอยู่
👉 bornto.dev/DA-Bundle
.
💡 เตรียมเงินไว้รอพรุ่งนี้! (10 ต.ค. 21.00 น.)
💻 Front-End Developer → สร้างเว็บสวย ใช้งานได้จริง
👉 bornto.dev/FE-Bundle
⚙️ Back-End Developer → วางระบบหลังบ้านให้ธุรกิจทำงานได้ 24 ชม.
👉 bornto.dev/BE-Bundle
.
🧠 ทุกคอร์สเรียนเข้าใจง่าย ค่อยเป็นค่อยไป
ทำโปรเจกต์จริงได้เลย ไม่ต้องมีพื้นฐานก็เริ่มได้!
⚡️ ลดสูงสุดกว่า 70%
📅 เฉพาะวันที่ 9 – 10 ตุลาคมนี้เท่านั้น!
⏰ เริ่มเวลา 21.00 น. เป็นต้นไป
💥 จำกัดเพียง 20 สิทธิ์ต่อวันเท่านั้น!
.
อย่ารอจนหมดเวลา...เพราะโอกาสเปลี่ยนชีวิตครั้งนี้ มีแค่ 2 วัน! ⏳
.
🌟 BorntoDev – เส้นทางสู่อนาคตสายเทค เริ่มได้ที่นี่
.
#FrontEndDeveloper #BackEndDeveloper #UXUIDesigner #DataAnalyst #BorntoDev #เรียนออนไลน์ #1010Sale #สายอาชีพTECH #ย้ายสายงาน #Upskill #FlashSale #ลดแรง2วันเท่านั้น

2 weeks ago | [YT] | 10

BorntoDev

บทสรุปของทีมเกิดมาเดฟ 📝
.
✨ ปิดแฟ้ม “บันทึกโปรเจกต์ลับ – ทีมเกิดมาเดฟ EP.9” จากวันที่เราชวนกันเปิดแฟ้มใน EP.0 เพื่อรับมือกับความท้าทายของโลกที่ผันผวนอย่างกับพัดลมสี่ใบพัด วันนี้เราก็เดินทางมาถึงหน้าสุดท้ายกันแล้วครับ
.
ตลอด 8 EP เราไล่เรื่องราวตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ไม่ว่าจะเป็น PM ด่านหน้าที่ต้องรับ Requirement จากลูกค้า, UX/UI ผู้ออกแบบบริการให้สอดคล้องกับความต้องการมากที่สุด, Dev ผู้ที่สรรสร้างให้ความต้องการใด ๆ เป็นจริงขึ้นมาได้, QA ผู้คุมคุณภาพชิ้นงานให้ไร้ที่ติ, DevOps ผู้ซึ่งสนับสนุนเส้นทางให้โค้ดสามารถ Deploy อย่างราบรื่น, Cloud/Infra ที่เป็นเสาหลักให้ทุกบริการใช้ได้ต่อเนื่องไม่หยุด, Data หรือข้อเท็จจริงที่ให้เราตัดสินใจได้อย่างไม่มโน, และสุดท้ายคือ AI เพื่อนคนใหม่ของทีมที่จะช่วยให้ทุกคนทำงานได้แบบติดสปีด
.
📌สรุปบทเรียนใหญ่ (เอาไว้ติดผนังให้ทีมได้เลย):
.
➖ ทำงานบน “ข้อมูลจริง” ไม่ใช่ความรู้สึก – ตัวชี้วัดมาตรฐานกลาง ช่วยตัดสินใจไว ไม่หลงทิศ.
➖ ออกแบบขั้นตอนการทำงานให้ดีตั้งแต่ต้นน้ำ – Research ดี, Requirement ชัด ลดของหลุด.
➖ ใช้ Automate กับงานซ้ำ ๆ – ลดความผิดพลาดจากมนุษย์ (Human Error) และระยะเวลาในการกู้ระบบ (MTTR) หากเกิดปัญหา.
➖ ระบบต้อง “เล็ก–ลีน–เชื่อมต่อกันได้” – แยกส่วนการทำงานแต่ละฝ่าย, ใช้มาตรฐาน, มีทางสำรองเวลาพัง.
➖ การอัปสกิลคือเกราะป้องกันความผันผวน – ทีมที่เรียนรู้ไว ปรับตัวเร็ว จะชนะในวันที่หาความแน่นอนไม่ได้.
.
อยากเริ่มต้นปรับตัว ให้ทำ 3 ข้อนี้เลย:
1️⃣ จับ Pain Point Top 3 ของทีม ว่าทุกวันนี้เราเสียเวลาไปกับอะไร? คุณภาพที่ได้สมเหตุสมผลไหม? และต้นทุนที่ต้องจ่ายคุ้มค่าหรือเปล่า?
.
2️⃣ เลือก Quick Win 1 เรื่องแล้วลงมือทำทันที เช่น การตั้ง Auto-refresh สำหรับติดตามรายงานการขาย, เพิ่ม Quality Gate ใน Pipeline เพื่อตรวจสอบคุณภาพของแอประหว่างทาง, สร้าง Chatbot ให้เปิดเคสอัตโนมัติ เพื่อที่เจ้าหน้าที่ตรวจสอบและแก้ไขได้รวดเร็ว
.
3️⃣ นัด “วันเรียนรู้” ให้กับทีม แชร์ความรู้หรือประสบการณ์ระหว่างกัน แม้จะเป็นสิ่งเล็กน้อย แต่ต่อเนื่อง
.
ถ้าชอบซีรีส์นี้ ฝากเซฟเก็บไว้ + แชร์ให้เพื่อนร่วมทีมหน่อยนะครับ 🙌 หรือใครมีหัวข้อไหนอยากให้ขยายความเพิ่มเติม คอมเมนต์ไว้ได้เลย
.
🔓 อย่าปล่อยให้ความผันผวนของโลกปิดกั้นศักยภาพของทีมเรา สนใจอบรม In-House ที่ออกแบบให้ตรง Pain Point ทีม ดูรายละเอียดได้ที่ bornto.dev/bd-training
.
🦖 #borntoDev – พร้อมเปลี่ยนคนทำงาน ให้ก้าวสู่การเป็น Dev / Tech Expert

2 weeks ago | [YT] | 10

BorntoDev

AI เก่งกว่าเดิมได้ ถ้าเรากำกับเป็น 🤔
.
✨ มาต่อกันที่ “บันทึกโปรเจกต์ลับ EP.8” EP สุดท้ายที่จะพูดถึงวิธีเพื่อนร่วมทีมคนใหม่อย่าง AI ที่ทำให้ย่นระยะเวลาการทำงานของทุกคนได้ แต่บางครั้งเพื่อนคนนี้อาจจะงง ๆ หลอน ๆ ถามอย่างนึง ตอบอย่างนึง ให้ทำอย่างนี้ แต่ทำอย่างนั้น เรามาดูกันว่าจะทำยังไงที่จะรีดประสิทธิภาพเพื่อนร่วมทีมคนนี้ให้ได้มากที่สุด
.
😵 เคสเกี่ยวกับ AI ที่หลายทีมเจอบ่อย
- บอทเป็น ""นกแก้ว"" ตอบวนสคริปต์ไปมา ไม่เข้าใจเจตนา แก้ปัญหาให้ไม่ได้
>> เพราะเราเทรนโดยการใช้สคริปต์ FAQ + การจับคีย์เวิร์ด ไม่ได้ออกแบบ Intent/Entity/Context และไม่ต่อ Webhook/Web API ไประบบงานที่เกี่ยวข้อง
>> ทำให้ถามนอกสคริปต์ไม่ได้, เช็กสถานะงาน/เปิดเคสเองไม่เป็น, ลูกค้าหรือผู้ใช้งานต้องรอให้พนักงานที่เป็นมนุษย์มาตอบ
.
- งานรูทีนยังต้องคีย์มือ กรอกข้อมูลไปมาข้ามระบบ
>> เพราะไม่ได้สร้าง Trigger/Workflow ที่คอยประสานงาน (Orchestrate) ผ่าน API ระหว่างระบบ เช่น บอท → CRM → อีเมล/Social Media
>> ทำให้ข้อมูลหรือ Tasks งานตกหล่น, Lead Time ของแต่ละงานยาว, ไม่ถึงเกณฑ์ SLA ที่ตั้งไว้, ต้องคอยตามงานด้วยคน ที่สร้างความกดดันและเหนื่อยล้า
.
- หลุด QC/QA เพราะข้อผิดพลาดจากแรงงานมนุษย์ (Human Error) ที่มีพลังโฟกัสที่จำกัด
>> เพราะใช้สายตา/สัมผัสของคนในการไล่เช็กจุดผิดพลาด (Defect) โดยไม่มีชุดข้อมูลที่ติดป้ายสิ่งที่ตรงตามมาตรฐาน (Labeled Dataset) และเกณฑ์วัดคุณภาพที่ยอมรับได้อย่างชัดเจน
>> ทำให้มีจุดผิดพลาดหลุดไปถึงมือลูกค้า/ผู้ใช้งาน (Miss Defect) สูง, ต้องกลับมา Rework เพิ่ม ทำให้ต้นทุนสูงขึ้น
.
- ใช้ AI แบบไร้ราวกันตก เสี่ยงข้อมูลรั่วไหล
>> เพราะป้อน Prompt ตรง ๆ ไม่มี Guardrail/Policy เพื่อกำกับการใช้งาน ไม่ได้บันทึก/ติดตาม Prompt-คำตอบ-ข้อผิดพลาดเพื่อตรวจสอบหรือปรับปรุง, ไม่กำหนดการจัด Queue งาน หรือตั้งระยะเวลา Retry หากเรียก API ไม่สำเร็จ
>> ทำให้เสี่ยงข้อมูลรั่วไหล (Data Leak) หรือมีการยัดคำสั่งแอบแฝงให้ AI ละเมิดทำสิ่งที่ไม่ควรทำ (Prompt Injection)
.
💡 ทางแก้ที่ทำได้จริง (Quick Win)
1) สร้างแชตบอทที่ “ลงมือทำงานได้เอง” พนักงานไม่ต้องเอาข้อมูลไปกรอกซ้ำซ้อน
>> ด้วยการออกแบบ Intent เพื่อตรวจจับเจตนา, Entity เพื่อตรวจสอบคำสำคัญ, Context เพื่อประเมินบริบทขณะนั้น แล้วเชื่อมต่อกับระบบงานที่เกี่ยวข้องด้วย Webhook/Web API
>> ส่งผลให้บอทสามารถเช็กสถานะงานที่สอบถาม รวมถึงการเปิดงานใหม่ให้ฝ่ายที่เกี่ยวข้องอัตโนมัติ ลดภาระพนักงาน Admin หรือ Customer Service
.
2) สร้าง AI Assistant ที่สามารถพูดคุย คิดวิเคราะห์ และเรียกเครื่องมือสำหรับงานเฉพาะด้าน
>> ด้วยการวาง Workflow เพื่อรับคำถามหรือคำสั่ง → แล้วเรียก/ดึงข้อมูลผ่าน API → จากนั้นก็สรุป/คิดคำตอบให้ → ก่อนแก้ไขหรือบันทึกข้อมูลใหม่เข้าระบบงาน ภายใต้กรอบการทำงานที่เราตั้งไว้ (Guardrail/Policy)
>> ส่งผลให้เราได้ผู้ช่วยแบบรวมศูนย์ ที่ใช้งานได้หลายทีม แต่ละทีมเข้าถึงและสร้าง/แก้ไขข้อมูล รวมถึงเรียกใช้เครื่องมือที่เกี่ยวข้องกับงานตัวเองได้สะดวกขึ้น
.
3) สร้างระบบตรวจจับภาพวัตถุสินค้า เพื่อประเมินคุณภาพแบบอัตโนมัติ
>> ด้วยการทำ Labeled Dataset พร้อมตั้งเกณฑ์วัดมาตรฐานด้วยเกณฑ์ Accuracy/Precision/Recall/F1 (ถูกต้อง–แม่นยำ–เก็บครบ–สมดุล) แล้วกำหนด Threshold ว่าแบบไหนที่ “ผ่าน” แบบไหนที่ “ไม่ผ่าน”
>> ส่งผลให้มีจุดตรวจคุณภาพแบบ Real-time สามารถช่วยลด Miss Defect และเวลาตรวจสอบที่ใช้ต่อชิ้นงาน
.
🚀 อัปสกิลทีมเราให้สามารถดึงประสิทธิภาพของ AI ให้ “ทำงานได้จริง” ด้วยหลักสูตรแนะนำจาก borntoDev แบบจัดเต็ม
✅ Building Chatbots with Dialogflow (1 วัน) Intent/Entity/Context + Webhook/Web API + วางพื้นฐาน Deploy/Monitor
✅ MCP 101: AI Assistant with Claude (1 วัน) วาง Workflow เรียก/เขียน API พร้อม Guardrail/Policy และ Log/Monitor
✅ AI, Data & Computer Vision (5 วัน) ปูพื้น Data/ML + Labeled Dataset + OpenCV Real-time Defect Detection และประเมินโมเดล
.
📣 สรุป ผู้ใช้งาน AI ของ borntoDev กล่าวว่า ""AI จะฉลาดและปลอดภัยได้ เมื่อออกแบบการใช้งานอย่างมีแบบแผน"" สนใจให้ทีมใช้ AI เก่งขึ้น ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ bornto.dev/bd-training
.
🦖 #borntoDev – พร้อมเปลี่ยนคนทำงาน ให้ก้าวสู่การเป็น Dev / Tech Expert

3 weeks ago | [YT] | 46

BorntoDev

ให้ Data พูดแทนความรู้สึก 💕
.
✨ มาต่อกันที่ “บันทึกโปรเจกต์ลับ EP.7” บันทึกหน้านี้เราขอพูดถึง ทีมที่ทำให้ทั้งองค์กรมองเห็นภาพเดียวกัน และตัดสินใจแบบมีหลักฐาน ไม่ใช่มโน
.
หลายที่เราก็เรียกเค้าว่าทีม Data Analytic บางที่เราก็เรียกเค้าว่าทีม Business Intelligence แต่ใด ๆ แล้วเค้าคือคนที่ทำหน้าที่แกะรหัสลับจากข้อมูล และนำ Insight ออกมาใช้ประโยชน์ให้เป็นประโยชน์ต่อธุรกิจมากที่สุด
.
😵 เคสเกี่ยวกับ Data ที่หลายองค์กรเจอบ่อย
- ตัวเลขของแต่ละแผนกไม่ตรงกัน–ข้อมูลถูกจัดเก็บแบบกระจัดกระจาย
>> เพราะองค์กรมีเครื่องมือทำงานหลายระบบ และจัดเก็บข้อมูลไว้หลายไฟล์ ไม่มีแบบจำลองข้อมูลร่วมและนิยาม KPI ไว้ตรงกลาง
>> ทำให้ไม่มี “ความจริงหนึ่งเดียว” หรือที่เรียกกันว่า SSOT: Single Source of Truth แต่ละฝ่ายงานเห็นภาพไม่ตรงกัน นำข้อมูลไปใช้ไม่ได้
.
- ออกรายงานได้ช้า เพราะยังรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลแบบ Manual
>> เพราะดึง–แปลง–รวมข้อมูลด้วยสเปรดชีตแบบดั้งเดิม หากมีข้อมูลใหม่ต้องกรอกเพิ่มและวิเคราะห์
>> ทำให้รายงานมีความยาวมาก อ่านข้อมูลได้ยาก มีหลายเวอร์ชัน และมีความผิดพลาดสูงหากใส่ข้อมูลหรือสูตรผิด
.
- วิเคราะห์ข้อมูลจนได้ Insight แต่ไม่สามารถเปลี่ยนเป็น Action ที่เพิ่มมูลค่าได้
>> เพราะไม่ได้สร้างหรือเชื่อมต่อ Workflow เข้ากับเครื่องมือทำงานของทีม
>> ทำให้พลาดโอกาสในการสร้างมูลค่าทางธุรกิจจาก Insight ที่มี
.
💡 ทางแก้ที่พิสูจน์แล้วว่าได้ผล
- สร้าง ""ความจริงหนึ่งเดียว"" หรือ SSOT ด้วย Data Model ที่กำหนดโดยส่วนกลาง
>> รวบรวมข้อมูลจากทุกฝ่ายงานไว้ที่เดียว ด้วยการออกแบบ Star Schema และตั้ง Metric/KPI กลาง ทำให้ทุกทีมใช้เลขอ้างอิงเดียวกัน เห็นความเป็นไปได้และความเสี่ยงทางธุรกิจในทางเดียวกัน
.
- ตั้งค่า “อัปเดตอัตโนมัติ” ให้กับรายงานหรือ Dashboard
>> ใช้งาน Dataflows ในการดึง, แปลง, และรวมข้อมูลจากหลายๆ ที่ พร้อมตั้ง Schedule Refresh สำหรับการดึงข้อมูลตามเวลาที่กำหนด หรือใช้ Incremental Refresh สำหรับดึงข้อมูลเวลาที่มีการสร้างข้อมูลใหม่ เพื่อให้ Live Dashboard มีความสดใหม่เสมอ ทั้งนี้ต้องไม่ลืมกำหนดสิทธิ์ด้วย RLS: Row-Level Security เพื่อให้ผู้ใช้งานเห็นเฉพาะข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับตัวเองเท่านั้น
.
- เปลี่ยน Insight ให้เป็น Action อัตโนมัติ
>> ตั้งให้ส่งการแจ้งเตือน (Alert) ตามเงื่อนไขที่กำหนด เช่น ""หากยอดขายของสินค้า A ต่ำกว่าเป้า 3 วันติดกัน"" แล้วให้ Workflow สร้างงาน แจ้งเตือน หรืออัปเดตข้อมูลเข้าระบบที่ทีมใช้อยู่ทันที เช่น ""ให้ระบบส่งข้อความแจ้งเตือนไปที่ Microsoft Teams ของทีมขาย และสร้างการ์ดงานใน Planner ของผู้จัดการทันที""
.
🚀 อัปสกิลให้ทีมใช้ข้อมูลที่มีให้เกิดประโยชน์สูงสุด ด้วยหลักสูตรแนะนำจาก borntoDev แบบจัดเต็ม
✅ Power BI Practitioner (1 วัน) รวม/แปลงข้อมูลด้วย Power Query, วางความสัมพันธ์ของข้อมูลด้วย Star Schema, สร้าง KPI กลางด้วย DAX, ตั้ง Refresh/Incremental ให้แดชบอร์ดอัปเดตอัตโนมัติ
✅ M365 Copilot for Data-Driven Teams (1 วัน) สร้างแอปรวบรวม/แก้ไขข้อมูลด้วย Power Apps, เชื่อมต่อข้อมูลจาก SharePoint/Excel, ดู/แชร์ Dashboard ผ่าน Microsoft Teams, ตั้งแจ้งเตือน-สร้างงานอัตโนมัติด้วย Power Automate
✅ n8n Automation for Business (1 วัน) ออกแบบ Workflow ข้ามระบบงานต่าง ๆ ด้วย n8n พร้อมรับ Trigger ด้วย KPI/Alert แล้วอัปเดตข้อมูลบน CRM/Sheets/Email แบบอัตโนมัติ
.
📣 สรุปทีม Data Analytic/Business Intelligence ของ borntoDev เชื่อว่า “หากโครงสร้างการดึง-แปลง-แก้ไข-วิเคราะห์ข้อมูลชัดเจน การนำข้อมูลไปใช้ตัดสินใจจะง่ายและปังขึ้นกว่าเดิมมาก” สนใจให้องค์กรเราใช้ข้อมูลสร้างคุณค่าให้กับธุรกิจ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ bornto.dev/bd-training
.
🦖 #borntoDev – พร้อมเปลี่ยนคนทำงาน ให้ก้าวสู่การเป็น Dev / Tech Expert

3 weeks ago | [YT] | 44

BorntoDev

กอด Cloud กอด Cloud ให้แน่น ๆ อ้อมแขน Infra ทำให้ลูกค้าอุ่นใจ 💝
.
✨ มาต่อกันที่ “บันทึกโปรเจกต์ลับ EP.6” เราเปิดบันทึกมาถึงหน้าของ “ผู้ที่ก่อสร้างและดูแลฐานรากให้ทุกระบบ” Service ทั้งหมดจะใช้ได้หรือก็ขึ้นอยู่กับเขาคนนี้
.
ใช่แล้ว คนที่เราพูดถึงก็คือ Cloud Engineer หรือทีม Infra ที่ดูแลโครงสร้างพื้นฐานทางไอทีสมัยใหม่ที่อยู่บน Cloud ทั้งหมด เพื่อให้ Dev–QA–DevOps ทำงานได้มั่นใจและปล่อยของได้ต่อเนื่อง
.
😵 เคสด้าน Cloud/Infra ที่หลายองค์กรเจอบ่อยซึ่งได้แก่
- บิลค่า Cloud พุ่ง เกินงบโครงการ ติดตามหรือควบคุมไม่ได้ (อันนี้ต้องเคยเจอกันบ้าง)
>> เพราะไม่มี Tagging/Cost Allocation สำหรับติดตามและจัดสรรค่าใช้จ่ายสำหรับแต่ละทีมหรือโปรเจกต์, ไม่ได้ตั้ง Auto-scale เพื่อเพิ่ม-ลดทรัพยากรตามความต้องการของระบบในช่วงเวลาหนึ่ง ๆ
>> ทำให้ไม่สามารถประเมินและคาดการณ์ค่าใช้จ่ายรายทีมหรือรายโปรเจกต์ให้แม่นยำได้ ส่งผลให้เกิดการสร้างทรัพยากรแบบเผื่อใช้จำนวนมาก (Over-provision)
.
- Platform Drift – Environment “ลักลั่น” มีความต่างจากสิ่งที่ควรจะเป็น
>> เพราะใช้การสร้าง-เพิ่ม-ลด-ทรัพยากรด้วยมือ บางครั้งก็ทำให้การตั้งค่า Network/RBAC/Policy ของแต่ละ Environment เพี้ยน เนื่องจากไม่ได้ใช้งาน Infrastructure as Code
>> ทำให้ทดสอบที่ Staging ผ่าน แต่เมื่อ Deploy บน Production กลับพัง พอจะตรวจสอบก็ทำได้ยาก และใช้ระยะเวลาในการกู้คืนบริการสูง
.
- โครงสร้างไม่แข็งแรง เสี่ยงล่มนาน
>> เพราะใช้งานเพียง Single-zone/Single-instance หากเกิดเหตุขัดข้อง บริการทั้งหมดจะถูกหยุดทันที, ไม่มีการ Backup ข้อมูลให้เป็นปัจจุบันอย่างสม่ำเสมอ, ไม่มีการแบ่ง Deployment Slots สำหรับปล่อยงานใหม่ขณะงานเก่ายังให้บริการอยู่, ไม่ได้กำหนดทางเข้าหลัก (Ingress) การยืนยันสิทธิ์ (Identity) เส้นทางสื่อสารภายใน (Private Networking) เพื่อการเข้าถึงข้อมูลอย่างปลอดภัย
>> ทำให้หากเกิดเหตุขัดข้องระยะเวลา Downtime สูง ซึ่งบางครั้งก็เกินระยะเวลา SLA ที่ให้คำมั่นกับลูกค้าไว้ รวมถึงเสี่ยงข้อมูลรั่วไหลและโดนโจมตีได้ง่าย
.
💡 ทางแก้ที่พิสูจน์แล้วว่าได้ผล
1) ตั้งงบ–ควบคุมค่าใช้จ่ายของแต่ละงาน + กำหนดให้ Scale/Stop แบบอัตโนมัติ
– ทำ Tagging/Cost Allocation เพื่อแยกค่าใช้จ่ายตามทีมหรือโปรเจกต์ พร้อมตั้งงบแบบจำกัดไว้ล่วงหน้า และให้แจ้งเตือนหากใช้ใกล้เต็มจำนวน ด้วยเครื่องมืออย่าง Microsoft Cost Management สำหรับ Azure Cloud หรือ AWS Billing สำหรับ AWS Cloud
– ใช้ระบบอัตโนมัติในการเพิ่ม-ลดทรัพยากรตามการใช้งานจริง (Auto-scale) เลือกขนาดที่เหมาะสม (Right-size) และตั้งเวลาเปิด-ปิดเครื่องที่ไม่จำเป็น (Schedule Start/Stop) เพื่อลดค่าใช้จ่าย
>> ช่วยให้เห็นข้อมูลการใช้งานของแต่ละโปรเจกต์ ทำให้ประเมินล่วงหน้าได้ดีขึ้น และลดค่าใช้จ่ายจากการสร้างทรัพยากรเผื่อใช้
.
2) สร้าง Environment ด้วย Template มาตรฐาน
– ใช้ Infrastructure as Code อย่าง Terraform, Bicep หรือ ARM เพื่อให้ทุกสภาพแวดล้อมที่สร้างเหมือนกันเสมอ
– รวบรวม Secret/Config ให้จัดการรหัสผ่านและตั้งค่าได้จากที่เดียว รวมถึงการกำหนด Policy หรือ Role-Based Access Control: RBAC จากส่วนกลาง ป้องกันไม่ให้มีการแก้ไขนอกเหนือจากที่กำหนดไว้
>> ให้ทุกการสร้าง Environment มีความคงที่ หากเกิดปัญหาสามารถย้อนรอยเพื่อตรวจสอบได้ง่ายขึ้น
.
3) ทำงานบนพื้นฐานของ Cloud-native ที่สามารถปล่อยได้บ่อยและมีความเสถียร
– แพ็กแอป + สิ่งจำเป็นต่อการรัน (Dependencies) ลงใน ""กล่อง"" (Container) เพื่อให้รันที่ไหนก็ได้ผลลัพธ์เหมือนกัน พร้อมกำหนด Ingress/Identity/Private Networking เพื่อควบคุมการเข้าถึงข้อมูลหรือบริการอย่างรัดกุม
– ใช้ Revisions + Traffic Splitting หรือ Deployment Slots/Blue-Green เพื่อทดสอบกับผู้ใช้กลุ่มเล็กก่อน หรือสลับเวอร์ชันได้ทันทีกรณีที่เกิดปัญหา
>> เพิ่มหรือแก้ไขฟีเจอร์ได้เร็วขึ้น พร้อมลดระยะเวลา Downtime กรณีที่ระบบล่ม ทำให้ลูกค้าสามารถใช้บริการได้อย่างต่อเนื่อง
.
🚀 อัปสกิล Cloud/Infra ให้โครงสร้างพื้นฐานไอทีของเราแข็งแกร่ง ด้วยหลักสูตรแนะนำจาก borntoDev แบบจัดเต็ม
✅Cloud & DevOps Essentials (1 วัน) ปูพื้นฐานการใช้ Cloud + วิธีประเมินค่าใช้จ่าย/ความปลอดภัย, Git/GitHub, Docker และกระบวนการ DevOps เบื้องต้น
✅Cloud-native with Azure Container Apps (1 วัน) ตั้งค่า Environment/Ingress/Secrets/Managed Identity, ทำ CI/CD, ใช้ Revisions/Scaling/Traffic Splitting
✅Get started with Azure App Service (1 วัน) Deploy เว็บหลายภาษา, ต่อฐานข้อมูลและระบบยืนยันตัวตน, ใช้ Autoscale/Deployment Slots/Traffic Routing
.
📣 สรุป Cloud Engineer ของ borntoDev บอกว่า “โครงสร้างพื้นฐานของบริการที่แข็งแรง คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ลูกค้าและผู้ใช้งานของเราอุ่นใจ” สนใจอัพสกิล Cloud/Infra ให้โค่นไม่ล้ม ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ bornto.dev/bd-training
.
🦖 #borntoDev – พร้อมเปลี่ยนคนทำงาน ให้ก้าวสู่การเป็น Dev / Tech Expert

1 month ago | [YT] | 35

BorntoDev

Mr. DevOps กดปุ่มเดียว เขียวทั้งแถบ 💚
.
✨ มาต่อกันที่ “บันทึกโปรเจกต์ลับ EP.5” มาทำความรู้จักกับคนที่ชี้ชะตาว่าจะ “กดปุ่มเดียว เขียวทั้งแถบ” หรือพังทั้ง Pipeline กันแน่
.
ใช่แล้ว คน ๆ นั้นก็คือ DevOps ผู้ที่ทำให้โค้ดจากทีมพัฒนาได้ถูกปล่อยอย่าง “ไหลลื่นและปลอดภัย” พร้อมลดการทำงานแบบ Manual + ลดความเสี่ยงระบบพังหลังจาก Deploy
.
😵 ปัญหาที่ทีมมักเจอ หากไม่มี DevOps ดูแล ก็มีตั้งแต่
- ปล่อยฟีเจอร์ใหม่หรือปรับปรุงได้ช้า แถมยังต้องลุ้นทุกครั้งที่ Deploy
>> เพราะไม่มี Git workflow เพื่อจัดการโค้ดอย่างเป็นระบบ และยังต้อง Build/Test กันแบบ Manual
>> ทำให้ Lead Time (ระยะเวลาตั้งแต่เขียนเสร็จจนกระทั่งขึ้นจริง) ยาวขึ้น และปล่อยของได้น้อยครั้ง
.
- ปัญหา “It works on my machine” สภาพแวดล้อมไม่เหมือนกัน ส่งผลลัพธ์ที่ต่างกัน
>> เพราะไม่ได้บรรจุแอปเป็นแพ็ก (Containerize) เอาไว้ และกระจายไฟล์ตั้งค่า/รหัสลับ (Config/Secret) หลายที่เกินไป
>> ทำให้ทำซ้ำ/จำลองปัญหาเดิม (Reproduce) ไม่ได้ และใช้เวลาเฉลี่ยในการกู้ระบบ (Mean Time To Recovery: MTTR) สูงขึ้น
.
- Pipeline สำหรับ Build, Test, Deploy มีความเปราะบาง แก้คืนได้ยาก
>> เพราะเขียนสคริปต์เฉพาะกิจหลายครั้ง/เก็บไว้คนละที่ (Scattered Scripts) ไม่ได้แบ่ง Stage/Gate เพื่อตรวจสอบคุณภาพระหว่างทาง รวมถึงขาดแผน Rollout/Rollback
>> ทำให้ต้องใช้ความระมัดระวังในการปล่อย/แก้ไขโค้ด เพราะเสี่ยง Downtime ส่งผลกระทบต่อเป็นลูกโซ่ ทำให้ลูกค้าไม่พอใจ หรือบริษัทขาดรายได้
.
💡 ทางแก้ที่พิสูจน์แล้วว่าได้ผล
1) ตั้ง Git Workflow + ทำ CI/CD อัตโนมัติ
- จัดการโค้ดด้วยเครื่องมืออย่าง GitHub Flow พร้อม PR Review และ Branch Protection เพื่อให้มีการตรวจทุกครั้งก่อนรวมโค้ด
- ใช้กระบวนการ CI/CD เพื่อ “ตรวจและปล่อยอัตโนมัติ” เมื่อมี commit ใหม่ ด้วย GitHub Actions รัน Lint/Test/ตรวจความปลอดภัยให้อัตโนมัติ
>> ทำให้โค้ดคุณภาพดีขึ้น ปล่อยได้ถี่ขึ้น ใช้ Lead Time ลดลง
.
2) ทำ Containerization + Environment Parity
- ใช้ Docker เพื่อบรรจุแอปพร้อมสิ่งจำเป็นต่อการรัน (Dependencies) และสามารถนำ Container ดังกล่าวไปรันได้เหมือนกันทุก Environment
- จัดเก็บ Config/Secret แบบรวมศูนย์ และแยก Staging/Production บน Kubernetes ให้ Container และ Environment มีความใกล้เคียงกัน
>> สามารถ Reproduce บั๊กหรือปัญหาได้จริง ส่งผลให้แก้ไขเร็วขึ้น และอัตรา MTTR ลดลง
.
3) ออกแบบ Pipeline ให้อุ่นใจทุกครั้งที่ปล่อยฟีเจอร์ใหม่
- ใส่ Quality Gate เช่น SonarQube เพื่อตรวจคุณภาพระหว่างเส้นทาง Pipeline พร้อมเก็บไฟล์ที่ผ่านการตรวจสอบแล้วใน Artifact Registry
- ใช้เทคนิค Canary Release เพื่อปล่อยให้ผู้ใช้ส่วนน้อยได้ทดสอบก่อน หรือ Blue-Green Deployment ที่เป็นระบบจริงทั้งคู่ แต่สามารถสลับไปมาเพื่อย้ายทราฟฟิกได้ กรณีที่ฝั่งใดฝั่งหนึ่งมีปัญหา พร้อมทำปุ่มฉุกเฉินอย่าง 1-Click Rollback ให้ย้อนกลับทันทีหากเกิดปัญหา
- รวบรวมข้อมูลการทำงาน (Log) และตัวชี้วัดประสิทธิภาพ (Metric) มาไว้ที่ส่วนกลาง เพื่อให้ทีมงานสามารถ ""เฝ้าระวัง"" ดูความผิดปกติได้แบบเรียลไทม์
>> ช่วยลดอัตราล้มเหลวเมื่อมีการเปลี่ยนแปลง (Change Failure Rate) และระยะเวลา Downtime จากการให้บริการไม่ได้
.
🚀 อัปสกิล DevOps ให้ทีมของเราปล่อยฟีเจอร์ได้ไม่อั้น ด้วยหลักสูตรแนะนำจาก borntoDev แบบจัดเต็ม
✅ Efficient Development with GitHub & GitHub Actions (1 วัน) ตั้ง GitHub Flow/PR/Branch Protection และทำ CI ที่รัน Lint/Test/SAST/Secrets อัตโนมัติ
✅ Docker & Kubernetes Masterclass (1 วัน) Dockerize อย่างถูกต้อง, Image hygiene, ใช้งาน Pod/Deployment/Service/Ingress/Helm เพื่อทำ Environment Parity
✅ CI/CD Pipeline with Jenkins (1 วัน) สร้าง Multibranch Pipeline, Shared Library, Quality Gate, Artifact Registry, Canary/Blue-Green และ 1-Click Rollback
.
📣 สรุป DevOps มือทองของ borntoDev บอกว่า “ระบบดีเพราะ Pipeline ออกแบบถูกต้อง ไม่ว่าจะกี่ฟีเจอร์ก็ปล่อยได้บ่อยและเสถียร” – สนใจให้ทีมทำ DevOps ได้ไหลลื่นยิ่งขึ้น ดูรายละเอียดได้ที่ bornto.dev/bd-training
.
🦖 #borntoDev - พร้อมเปลี่ยนคนทำงาน ให้ก้าวสู่การเป็น Dev / Tech Expert

1 month ago | [YT] | 49

BorntoDev

QA เป๊ะ เช็กยันเงา - Bug ตัวดี หนีไม่รอด 😱
.
✨ มาต่อกันที่บันทึกโปรเจกต์ลับ EP.4 วันนี้ถึงคิวของ นักส่องบั๊กผู้สร้าง “ความมั่นใจ” ให้ทุกคนในทีม แบบใช้หลักฐาน ไม่ใช่ความรู้สึก 😎
.
ใช่แล้ว เรากำลังพูดถึง QA สุดเป๊ะ ผู้ควบคุมให้ทุกชิ้นงานของเรา “มีคุณภาพก่อนปล่อย” ลดความเสี่ยงให้ธุรกิจ และปกป้องประสบการณ์ผู้ใช้ตั้งแต่คลิกแรกจนถึงแอคชันสุดท้าย
.
🧨 ซึ่งเรามีเคสเกี่ยวกับ QA ที่หลายทีมเจอบ่อยไม่ว่าจะเป็น
- บั๊กโผล่บน Production ทั้งที่เทสต์ครบ
>> เพราะไม่ได้กำหนด Test Strategy ที่ชัดเจนแต่แรก, เทสต์บน Environment ที่แตกต่างจาก Production มากเกินไป, เขียน Test Cases ที่ Coverage ต่ำ ไม่ครอบคลุมทุกฟีเจอร์
>> ทำให้บั๊กหลุดไปถึงมือผู้ใช้งาน (Defect Leakage) จนต้องกลับมาย้อนแก้ไข หลายครั้งที่ส่งผลให้งบการดำเนินงานสูงขึ้น
.
- งานเร่งพร้อมกันทุกโปรเจกต์ ทำให้เทสต์ไม่ทันเปิดตัว
>> เพราะตำแหน่ง QA ในทีมมีอย่างจำกัด รวมถึงไม่ได้มีการจัดเตรียมข้อมูลสำหรับเทสต์ (Test Data) ไว้ล่วงหน้า
>> ทำให้ต้องตัด Test Cases บางอย่างออก หนึ่งในนั้นอาจเป็นเคสสำคัญ อาจเสี่ยงที่จะพังหลังปล่อยสูง และหากมีการใช้ข้อมูลจริงในการเทสต์ อาจเสี่ยงข้อมูลรั่วไหลเพิ่ม
.
- ทีมยังคงเทสต์กันแบบ Manual ไม่ใช่ Automated Test
>> เพราะไม่มีระบบเทสต์อัตโนมัติ (Test automation) รวมถึงคนในทีมขาดทักษะสำหรับ Automated Test
>> ทำให้ได้ผลการเทสต์ที่ไม่เสถียร (Flaky Test), Deploy ได้ช้า เนื่องจากยังรายงานและติดตามแก้ไขกันแบบ Manual
.
💡 ทางแก้ที่พิสูจน์แล้วว่าได้ผล
– กำหนด Test Strategy ให้มีเป้าหมายและขอบเขตของการเทสต์อย่างชัดเจน, จำลอง Environment สำหรับเทสต์ให้ใกล้เคียงกับ Production มากที่สุด พร้อมจัดทำ Regression Suite ซึ่งเป็นชุดทดสอบที่ทำให้เรามั่นใจได้ว่าโค้ดเดิมยังไม่พัง แม้ว่าจะมีการใส่โค้ดใหม่เข้าไปเพิ่ม
.
– เทสต์โดยอิงจากความเสี่ยง (Risk-Based Testing: RBT) กรณีที่มีเวลาเทสต์แบบจำกัดและกระชั้นชิด ให้มุ่งเทสต์ไปที่ฟังก์ชันที่ ""สำคัญที่สุด"" และ ""เสี่ยงที่จะพังที่สุด"" พร้อมเตรียมข้อมูลสำหรับใช้ทดสอบไว้แต่เนิ่นๆ ป้องกันไม่ให้เสียเวลาไปกับการสร้างข้อมูลใหม่ หรือเสี่ยงใช้ข้อมูลจริงมาทดสอบ
.
– เปลี่ยนรูปแบบจาก Manual Testing เป็น Automated Testing ด้วยการใช้ระบบ Test Automation อย่าง Postman/REST Assured สำหรับทดสอบ API หรืออย่าง Cypress/Playwright สำหรับทดสอบ UI และหากผูกกระบวนการนี้เข้ากับ CI/CD (Continuous Integration/Continuous Deployment) จะทำให้ทุกครั้งที่โค้ดใหม่เข้ามา (commit/PR) ระบบจะทดสอบให้ทันที เป็นการย่นเวลาทำงานและปล่อยของได้เร็วและเสถียรขึ้น
.
🚀 อัปสกิล QA ให้ทำงานเร็วขึ้นแต่ยังคงความเป๊ะไว้ ด้วยหลักสูตรแนะนำจาก borntoDev แบบจัดเต็ม
✅ Effective Software Testing (1 วัน) ใช้ Test Strategy/Acceptance Criteria, ออกแบบ Test Case/Regression Suite ให้การเทสต์เป็นระบบมากขึ้น
✅ Automated Testing with Cypress (1 วัน) ครอบคลุมการทดสอบ UI ด้วยเขียน Test แบบ Data-driven, จำลอง Stub/Mock network, จัดการ Flaky Test และรัน Headless บน CI
✅ JavaScript for Tester (1 วัน) ปูพื้นฐาน DOM/Async/Assertion ให้การเขียน/แก้สคริปต์เทสต์อัตโนมัติจึ้งกว่าเดิม
.
📣สรุป QA สุดเป๊ะของ borntoDev บอกว่า “บั๊กไม่ได้หายไปเอง—แต่มันหายเพราะเรามีแผนการเทสต์ที่เสถียร และระบบอัตโนมัติที่วัดผลได้” – สนใจอัปสกิลให้ QA/Tester ทำงานง่ายขึ้น แต่ยังคงความเป๊ะ ดูรายละเอียด In-house Training ได้ที่ bornto.dev/bd-training
.
🦖 #borntoDev - พร้อมเปลี่ยนคนทำงาน ให้ก้าวสู่การเป็น Dev / Tech Expert

1 month ago | [YT] | 40

BorntoDev

🔥 เคยรู้สึกไหมว่า การฝึกงาน หลายครั้งมันช่างห่างไกลจากการทำงานจริง? งานที่ได้รับอาจเป็นเพียงการช่วยงานเล็ก ๆ ที่ไม่ได้นำไปต่อยอดสักเท่าไร
.
แต่ที่ borntoDev Talent Program เราอยากเปลี่ยนมุมมองนั้นให้หมดไป 🚀
.
นี่ไม่ใช่การฝึกงานธรรมดา แต่คือการ "ฝึกง๊านนนนนน" เอ้ยยย ! ทำงานจริง เสมือนเป็นคนนึงในองค์กร
.
เราจะได้ลงสนามในบทบาทจริง ได้ลองตัดสินใจ แก้ปัญหา และรับผิดชอบผลงานที่ส่งผลจริงต่อทีมและโปรเจกต์
.
ไม่ว่าจะเป็นนักศึกษา หรือบุคคลทั่วไปที่อยากท้าทายตัวเอง ที่นี่คือพื้นที่ที่เราจะได้แบบเต็ม ๆ
.
ฝึกฝนในสภาพแวดล้อมจริง
เรียนรู้จากทีมมืออาชีพ
ผ่านกระบวนการคัดเลือกเข้มข้นไม่ต่างจาก Full-time
พร้อมรับค่าตอบแทน 350.- / วัน เป็นแรงสนับสนุนระหว่างเรียน
.
📌 ตำแหน่งที่เปิดรับในรอบนี้
.
Digital Marketing Specialist 2 ตำแหน่ง (แผนก Business)
Tech Consultant 2 ตำแหน่ง (แผนก Tech Consulting)
Web Developer 2 ตำแหน่ง (แผนก Software Development)
Technical Content Creator 1 ตำแหน่ง (แผนก Tech Ninja)
.
🎯 ถ้าคุณกำลังมองหาประสบการณ์ที่จะทำให้คุณ “เติบโตเร็วกว่าเดิม”
🎯 อยากพิสูจน์ความสามารถของตัวเองในสนามจริง
🎯 และพร้อมที่จะก้าวข้ามการฝึกงานที่เป็นแค่ “เช็กลิสต์ใน Transcript”
.
นี่คือโอกาสของคุณ ที่จะได้เริ่มต้นเส้นทางอาชีพในแบบที่มีทั้งประสบการณ์ รายได้ และความท้าทาย!

👉 สมัครเลยวันนี้ที่นี่ได้เลยย >> bornto.dev/talentprog แล้วมาเป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางที่จะพาเราไปไกลกว่าที่คิดกันได้เลยคร้าบบ
.
🦖 #borntoDev - พร้อมเปลี่ยนคนทำงาน ให้ก้าวสู่การเป็น Dev / Tech Expert

1 month ago | [YT] | 18