Reskill Thailand เติมเต็มความรู้และแรงบันดาลใจ ในการพัฒนาทักษะใหม่ให้คนทำงาน เพื่อตอบรับการเปลี่ยนแปลงของโลก by Mission To The Moon Media
Mission To The Moon
เคยสงสัยไหมว่า ทำไมบางคนถึงประสบความสำเร็จในชีวิตได้อย่างน่าทึ่ง ทั้งในแง่การงาน ความสุข และความมั่งคั่ง? .เราหลายคนอาจคิดว่าเป็นเพราะพวกเขาฉลาดกว่า โชคดีกว่า หรือมีพรสวรรค์พิเศษ แต่มหาเศรษฐีอันดับต้นๆ ของโลกอย่าง Warren Buffett กลับมองว่า ปัจจัยสำคัญที่สุดอยู่ที่การเลือกคบคนรอบตัว คนที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่ไม่ได้เติบโตเพียงเพราะเงินทองหรือความสามารถของตนเอง แต่เพราะพวกเขาเลือกล้อมรอบตัวเองด้วยคนที่ยกระดับพวกเขาให้เป็นเวอร์ชั่นที่ดีที่สุดของตัวเอง.ท่ามกลางอากาศอบอุ่นของการประชุมผู้ถือหุ้นประจำปีของ Berkshire Hathaway ที่เพิ่งผ่านไป Warren Buffett มหาเศรษฐีในตำนานได้ทิ้งข้อคิดที่ไม่มีใครคาดคิด เพราะแทนที่เขาจะพูดถึงหุ้นตัวไหนที่น่าลงทุน หรือกลยุทธ์ทำเงินแบบไหนให้รวยทันใช้ เขากลับบอกว่าสิ่งสำคัญที่สุดคือ “การเลือกคบหาคนที่ถูกต้องตลอดช่วงชีวิตของเรา” .เมื่อมีนักลงทุนหน้าใหม่ถามถึงบทเรียนสำคัญในชีวิตและคำแนะนำสำหรับนักลงทุนรุ่นใหม่ คำตอบของเขาไม่เกี่ยวกับการเลือกหุ้นหรือสินทรัพย์ระยะยาวที่ดีที่สุดแต่อย่างใด เขากลับพูดถึงประเภทของคนที่นักลงทุนควรคบหาตลอดชีวิต..เพื่อนที่คุณคบ ส่งผลต่อเส้นทางชีวิตของคุณ."คนที่คุณคบหาสำคัญอย่างมหาศาล และอย่าคาดหวังว่าคุณจะตัดสินใจถูกในทุกเรื่อง" Buffett กล่าวอย่างจริงจัง และเขายังกล่าวเพิ่มอีกว่าชีวิตของคุณจะพัฒนาไปในทิศทางเดียวกับคน 3 กลุ่มที่อยู่รอบตัวคุณ ได้แก่ คนที่คุณทำงานด้วย คนที่คุณชื่นชม และคนที่กลายเป็นเพื่อนของคุณ.เขายังเน้นย้ำด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมด้วยประสบการณ์ว่า บนโลกใบนี้มีคนที่ทำให้คุณอยากเป็นคนที่ดีกว่าเดิม และคุณควรอยู่กับคนที่ดีกว่าคุณ และที่คุณรู้สึกว่าพวกเขาดีกว่าคุณ.คำแนะนำนี้สร้างความประหลาดใจให้กับผู้เข้าร่วมการประชุมไม่น้อย เมื่อชายวัย 93 ปีผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็น "เทพแห่งการลงทุน" กลับไม่พูดถึงการเงินหรือการลงทุนแม้แต่น้อย แต่หันมาให้ความสำคัญกับการเลือกคบคน ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาเชื่อว่ามีผลต่อความสำเร็จในระยะยาวมากกว่า.ในช่วงชีวิตอันยาวนานของ Buffett ทั้งในฐานะนักลงทุนและนักธุรกิจ เขาได้พิสูจน์แล้วว่าคนรอบตัวคือกุญแจสำคัญในความสำเร็จของเขา ตั้งแต่การร่วมงานกับ Charlie Munger ผู้ร่วมงานคนสำคัญที่ช่วยขัดเกลาวิธีคิดของเขา ไปจนถึงการเลือกผู้บริหารที่มีคุณธรรมและความสามารถให้กับบริษัทต่างๆ ในเครือ Berkshire Hathaway.พลังของการล้อมรอบตัวเองด้วยคนคุณภาพนั้นสอดคล้องกับกฎที่ว่า "เราเป็นค่าเฉลี่ยของคน 5 คนที่เราใช้เวลาด้วยมากที่สุด" หากคุณอยู่รายล้อมด้วยคนขี้เกียจ โอกาสที่คุณจะขี้เกียจตามไปด้วยก็มีสูง ในทางกลับกัน หากคุณอยู่ท่ามกลางคนที่มุ่งมั่น สร้างสรรค์ และมีวินัย คุณก็มีแนวโน้มที่จะซึมซับคุณลักษณะเหล่านี้ไปด้วยนั่นเอง..ไม่ใช่แค่เลียนแบบคนรวย แต่ต้องรายล้อมด้วยคนเก่ง.Buffett ยังอธิบายเพิ่มเติมอีกว่า คำแนะนำของเขาแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากการเพียงแค่ติดตามคนที่หาเงินได้มากและพยายามเลียนแบบสิ่งที่พวกเขาทำ เพราะตลอดชีวิตการลงทุน เขาพยายามอยู่รายล้อมด้วยคนฉลาดที่เขาสามารถเรียนรู้ได้ นอกจากนี้ Buffett ยังกล่าวอีกว่าทุกคนควรตอบแทนความช่วยเหลือที่ผู้อื่นมอบให้."การทำเช่นนี้ก็เหมือนกับแนวคิดของการสร้างผลตอบแทนทบต้นในการลงทุน เพราะถ้าคุณรายล้อมไปด้วยคนที่เก่ง ก็จะเกิดการทบต้นของเจตนาที่ดีและพฤติกรรมที่ดี แต่น่าเสียดายที่คุณก็สามารถได้รับสิ่งตรงข้ามในชีวิตได้เช่นกัน".ในยุคที่ "Fake it till you make it" กลายเป็นคติประจำใจของคนรุ่นใหม่ คำแนะนำของ Buffet กำลังพยายามทำให้เราหันกลับมาทบทวนการมองความสำเร็จเสียใหม่ เขาเชื่อในการเรียนรู้จากคนที่เก่งกว่า แทนที่จะเพียงแค่แสร้งทำตัวเลียนแบบพวกเขา.ประวัติศาสตร์ได้พิสูจน์แล้วว่า Buffett ไม่เคยพยายามคัดลอกกลยุทธ์ของนักลงทุนคนอื่น แต่เขาศึกษาและเรียนรู้จากพวกเขา แล้วนำมาปรับใช้ให้เหมาะกับตัวเอง ตั้งแต่การเรียนรู้จาก Benjamin Graham บิดาแห่งการลงทุนแบบคุณค่า ที่ทำให้เขาพัฒนาวิธีการลงทุนแบบเฉพาะตัวที่ผสมผสานทั้งศาสตร์และศิลป์.คำแนะนำของเขายังสะท้อนถึงความสำคัญของการมีเครือข่ายความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะในโลกธุรกิจที่ความสำเร็จมักเกิดจากการร่วมมือกัน ไม่ใช่การแข่งขันเพียงอย่างเดียว การสร้างเครือข่ายของคนที่มีค่านิยมและเป้าหมายคล้ายกันสามารถเปิดประตูสู่โอกาสที่ไม่คาดคิดได้มากมาย..หางานที่ทำแล้วมีความสุข ดีกว่าทุกข์กับงานที่ไม่ชอบ.ในขณะที่คนส่วนใหญ่วิ่งตามความมั่งคั่งทางวัตถุ Buffett กลับแนะนำให้หาอาชีพที่คุณจะทำแม้ไม่จำเป็นต้องได้เงิน และเตือนไม่ให้คบหากับคนที่ "บอกให้คุณทำสิ่งที่คุณไม่ควรทำ".เขาเล่าถึงสิ่งที่สังเกตเห็นตลอดหลายทศวรรษในวงการธุรกิจว่า "น่าสนใจมากที่คนทำงานในวงการลงทุนจำนวนมากออกจากธุรกิจหลังจากที่พวกเขาหาเงินได้มากแล้ว คุณควรหาสิ่งที่คุณจะทำต่อไป ไม่ว่าคุณจะต้องการเงินหรือไม่ก็ตาม".คำพูดนี้สะท้อนปรัชญาชีวิตที่ลึกซึ้งของชายผู้ยังคงทำงานที่เขารักแม้ในวัย 93 ปี และมีทรัพย์สินมหาศาลที่ทำให้เขาสามารถเกษียณอย่างสุขสบายได้มานานหลายทศวรรษแล้ว.ทฤษฎีความสุขในการทำงานของ Buffett สอดคล้องกับแนวคิด "Ikigai" ของชาวญี่ปุ่น ที่เชื่อว่าความสุขที่แท้จริงเกิดจากการได้ทำสิ่งที่ตัวเองรัก สิ่งที่ตัวเองเก่ง สิ่งที่โลกต้องการ และสิ่งที่เราได้รับค่าตอบแทน การค้นหางานที่ตอบโจทย์ทั้งสี่ด้านนี้คือกุญแจสู่ชีวิตที่มีความหมาย.Buffett เองก็เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของคนที่ทำงานด้วยความรัก เขาเคยกล่าวว่ารู้สึกเหมือน "เต้นรำไปสู่ที่ทำงานทุกวัน" และยังคงตื่นเต้นกับการตัดสินใจลงทุนเหมือนกับตอนที่เขาเริ่มต้นธุรกิจในวัยหนุ่ม ความกระตือรือร้นนี้ไม่ได้เกิดจากเงินทอง แต่เกิดจากความหลงใหลในสิ่งที่เขาทำ.นอกจากนี้ ในงานประชุมเมื่อมีนักลงทุนสาวรายหนึ่งลุกขึ้นถามว่าเธอควรทำอย่างไรเพื่อให้ได้งานที่ Berkshire Hathaway ในอนาคต คำตอบของ Buffett คือ "รักษาความอยากรู้อยากเห็นไว้ และอ่านหนังสือให้มาก".คำตอบสั้นๆ นี้อาจดูไม่ได้ให้แนวทางที่ชัดเจน แต่มันกลับบอกถึงคุณสมบัติหลักที่ Buffett มองหาในคนที่จะร่วมงานด้วย นั่นคือใจที่เปิดกว้าง พร้อมเรียนรู้ และเสาะแสวงหาความรู้อยู่เสมอ ซึ่งสำหรับการลงทุนจริงๆ เขายืนยันมาตลอดว่าคนไม่ควรเลียนแบบสิ่งที่เขาทำกับพอร์ตการลงทุนของ Berkshire แม้จะมีผู้ติดตามมากมาย และควรนำเงินไปลงทุนในกองทุนดัชนี S&P 500 แทน.ความเรียบง่ายในคำแนะนำของ Buffett อาจทำให้หลายคนรู้สึกผิดหวัง โดยเฉพาะผู้ที่คาดหวังจะได้ยินเคล็ดลับลัดสู่ความร่ำรวย แต่มันคือภูมิปัญญาที่ผ่านการกลั่นกรองจากประสบการณ์กว่า 70 ปีในวงการลงทุน.อย่างไรก็ตาม นักลงทุนรุ่นใหม่ควรเข้าใจว่า ความอยากรู้อยากเห็นและการอ่านคือทักษะพื้นฐานที่จะสร้างพลังความคิดวิเคราะห์และความเข้าใจต่อโลกธุรกิจ แทนที่จะจดจ่อแต่กับเทคนิคการหาหุ้นที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่า Buffett เน้นการพัฒนาวิธีคิดและกรอบความคิดที่ถูกต้อง ซึ่งสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ในทุกสถานการณ์..สุดท้ายแล้ว “ความมั่งคั่งที่แท้จริงคืออะไร?” ก็ยังคงเป็นสิ่งที่ Warren Buffett พยายามสะท้อนปรัชญาชีวิตของเขาออกมาผ่านการประชุมครั้งนี้ ความสำเร็จจากมุมมองไม่ได้วัดที่ตัวเลขในบัญชีธนาคาร แต่วัดที่คุณภาพของคนรอบข้างที่คุณเลือกคบหา อาชีพที่คุณหลงใหล และความอยากรู้อยากเห็นที่ไม่มีวันหมด.เพราะสุดท้ายแล้ว ชีวิตที่ประสบความสำเร็จอย่างแท้จริงไม่ได้วัดที่จำนวนเงินในบัญชี แต่วัดที่จำนวนคนคุณภาพที่ยินดีจะอยู่เคียงข้างเราในทุกช่วงเวลาของชีวิต ไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์ ไม่ว่าจะรุ่งโรจน์หรือล้มเหลว ..อ้างอิง- Warren Buffett has this advice for young investors—and it has nothing to do with where they should put their money - Jason Ma, Fortune - bit.ly/4jNJEr0 - ‘Don’t worry’ about your salary early in your career, Warren Buffett says—focus on this ‘enormously important’ factor instead - Kamaron McNair, CNBC - bit.ly/4dcj9sO ..#WarrenBuffett#trend#missiontothemoon#missiontothemoonpodcast
10 hours ago | [YT] | 148
View 0 replies
#missionชวนคุย มาแชร์กันว่า...
1 day ago | [YT] | 108
View 2 replies
เปิด Pre-Sale แล้ว! 🎉 "Mission To The Moon Office Blanket" ผ้าห่มติดออฟฟิศที่จะทำให้การทำงานของคุณมีสีสันขึ้น.ผ้าห่มออฟฟิศ 2 โหมด เปลี่ยนด้านเปลี่ยนสถานะ สินค้าใหม่ล่าสุดจาก Mission To The Moonลดการรบกวนที่ไม่จำเป็น และช่วยให้การทำงานในออฟฟิศสะดวกขึ้น.ผ้าห่มนาโน ขนาด 70x140 ซม. สองฝั่งสองสไตล์ในผืนเดียว[ ] สีน้ำเงินเข้ม Focused Mode (Please don't talk to me) บอกว่าคุณกำลังโฟกัสกับงาน[ ] สีชมพูอ่อน Social Butterfly Mode (Talk to me please!) บอกว่าคุณพร้อมสำหรับการพูดคุย.พร้อมเปิดจองแล้วในราคาพิเศษ! เพียง 690 บาท จากปกติ 790 บาท.📅พบกันวันที่ 7 พฤษภาคม 2568.📲 สั่งเลยที่ Line Shopping: shop.line.me/@missiontothemoon/product/1007343133..#OfficeBlanket #WorkFromHappiness#missiontothemoon #missiontothemoonpodcast
1 day ago | [YT] | 44
View 1 reply
📣 มาแล้ว! LIVE Pre-Sale “Office Blanket”.Office Blanket ผ้าห่มบอก Status สำหรับคนทำงานและนักศึกษา สินค้าใหม่ล่าสุดจาก Mission To The Moon.ผ้าห่มที่จะช่วยบอกให้เพื่อนๆ รู้ว่าคุณกำลังต้องการสมาธิหรือพร้อมที่จะพูดคุย ลดการรบกวนที่ไม่จำเป็น และช่วยให้การทำงานในออฟฟิศสะดวกขึ้น.ผ้าห่มนาโน ขนาด 70x140 ซม. สองฝั่งสองสไตล์ในผืนเดียว[ ] สีน้ำเงินเข้ม Focused Mode (Please don't talk to me) บอกว่าคุณกำลังโฟกัสกับงาน[ ] สีชมพูอ่อน Social Butterfly Mode (Talk to me please!) บอกว่าคุณพร้อมสำหรับการพูดคุย.พร้อมเปิดจองแล้วในราคาพิเศษ! เพียง 690 บาท จากปกติ 790 บาท.📅 พบกันวันที่ 7 พฤษภาคม 2568⏰ เวลา 19:00 - 20:00 น..📲 รับชมได้ทาง[ ] Facebook: bit.ly/32Oe4nW[ ] YouTube: bit.ly/3DWhaFG[ ] TikTok: bit.ly/35Gq8aX..#missiontothemoon #missiontothemoonpodcast
2 days ago | [YT] | 39
สวัสดีคร้าบทุกคน~ สมมูนขอมาประกาศรายชื่อผู้โชคดีจาก Comment ชวนคุย✨ใน เตรียมเงินสดให้พร้อม ก่อนพายุใหญ่กว่าโควิดจะมา | Mission To The Moon EP.2391รายชื่อผู้ได้รับรางวัล Srichand. Timeless Anti-Aging Facial Serum ทั้งหมด 10 ท่านได้แก่@mtch888 @spark631 @kachakara @aeyoyoro4978 @sawberry2812 @MartinPenguin @sureeratrabob1153 @Dodosolsollalasol30 @akekaphongkahapanakun924 @dr.ramidakarnchanawong4597 รบกวนติดต่อรับรางวัลทาง Inbox FB Fanpage :: www.facebook.com/missiontothemoonofficial ภายในวันที่ 12 พฤษภาคม 2568 เพื่อให้ทีมงานดำเนินการจัดส่งของรางวัลให้ทางไปรษณีย์ครับผม(สงวนสิทธิ์ให้กับผู้ที่รายงานตัวภายในระยะเวลาที่กำหนดเท่านั้น)สมมูนขอขอบคุณแฟนรายการทุกท่านที่ซัปพอร์ต Mission To The Moon กันมาตลอดนะคร้าบ💙
2 days ago | [YT] | 33
ปัจจุบันเราอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยความสะดวกสบาย ตั้งแต่การกดสั่งอาหาร จนถึงการชอปปิงออนไลน์ ทุกอย่างถูกออกแบบให้เราใช้ชีวิตง่ายขึ้น ทำให้เราเริ่มเชื่อว่า "ชีวิตที่ดี" คือชีวิตที่ราบรื่น ไม่มีปัญหา และเต็มไปด้วยความสุข โดยเฉพาะเมื่อเราเห็นภาพในโซเชียลมีเดียที่คนอื่นดูมีความสุขตลอดเวลา.แต่ความคิดนี้กำลังจะถูกท้าทายให้เราคิดทบทวนใหม่อีกครั้ง เมื่อศาสตราจารย์ Tal Ben-Shahar จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาเชิงบวก ได้กล่าวว่าปรากฏการณ์นี้เป็น "มายาคติของความสุขแบบต่อเนื่อง" (The Myth of Continuous Happiness) ซึ่งทำให้ผู้คนคาดหวังว่าจะต้องรู้สึกดีตลอดเวลา.สิ่งนี้สร้างความกดดันและนำไปสู่ความผิดหวังเมื่อเผชิญกับความท้าทายที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในชีวิตจริง แต่เมื่อเราคาดหวังแบบนั้น แล้วชีวิตจริงไม่เป็นไปตามที่หวัง เรากลับรู้สึกผิดหวัง เครียด และไม่พอใจมากขึ้นเรื่อยๆ ปรากฏการณ์นี้ถูกเรียกในวงการจิตวิทยาว่า "ผลกระทบของความคาดหวังที่ไม่สมปรารถนา" (Expectation Discrepancy Effect).คำถามจึงไม่ใช่แค่ "ทำไมชีวิตมันยาก?" แต่เป็น "ทำไมเราถึงคิดว่ามันควรจะง่าย?".ล่าสุด งานวิจัยทางจิตวิทยาหลายชิ้นพบว่า มันอาจจริงที่ว่า ชีวิตจะง่ายขึ้นมาก ถ้าเราเลิกคาดหวังตั้งแต่แรกว่ามันต้องง่าย..ปัญหาของการแสวงหาความสุข เมื่อความสุขกลายเป็นความกดดัน.งานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Emotion โดย Dr. Iris Mauss และคณะ (2011) พบว่า "ยิ่งเราพยายามแสวงหาความสุขมากเท่าไร เรากลับยิ่งรู้สึกผิดหวังและไม่มีความสุขมากขึ้นเท่านั้น" โดยการศึกษานี้ได้ทำการทดลองกับกลุ่มตัวอย่าง 282 คน แบ่งเป็นกลุ่มที่ให้ความสำคัญกับการแสวงหาความสุขสูงและกลุ่มที่ไม่ได้เน้นเรื่องนี้.ผลการวิจัยชี้ให้เห็นว่า กลุ่มที่ให้ความสำคัญกับการแสวงหาความสุขมากเกินไปมีแนวโน้มที่จะเกิดอาการซึมเศร้า วิตกกังวล และมีความพึงพอใจในชีวิตต่ำกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ.เช่นเดียวกับงานวิจัยของ Dr. Todd Kashdan จากมหาวิทยาลัย George Mason ที่พบว่าคนที่พยายามหาความสุขอย่างจริงจัง กลับเครียด หงุดหงิด และรู้สึกไม่พอใจกับชีวิตมากกว่าคนที่ยอมรับทั้งด้านบวกและด้านลบของชีวิต.นี่ไม่ได้หมายความว่า "เราไม่ควรมีความสุข" แต่เป็นการเตือนว่า การคาดหวังให้ทุกวันต้องสมบูรณ์แบบ จะทำให้เรากลับทุกข์มากขึ้น ปรากฏการณ์นี้ถูกเรียกว่า "กับดักการไล่ล่าความสุข" (The Happiness Paradox)..ทำไมเราถึงคาดหวังมากเกินไป.แล้วทำไมเราถึงตกหลุมพรางนี้? การศึกษาด้านประสาทวิทยาของ Dr. Daniel Kahneman (นักจิตวิทยาผู้ได้รับรางวัลโนเบล) ที่ศึกษาเกี่ยวกับ "System 1 and System 2 Thinking" พบว่าสมองมนุษย์มีความลำเอียงโดยธรรมชาติที่จะมองหาความสะดวกสบายและหลีกเลี่ยงความยากลำบาก เมื่อผสานกับปัจจัยภายนอกในสังคมปัจจุบัน ทำให้เกิดพายุความคาดหวังที่สูงเกินจริงอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ .โดยปัจจุบันมีหลายสิ่งที่ทำให้เราคาดหวังสูงเกินจริง ไม่ว่าจะเป็น.[ ] โซเชียลมีเดีย .เราเห็นแต่ภาพสวยๆ ของชีวิตคนอื่น ทำให้เราคิดว่าชีวิตเราก็ควรเป็นแบบนั้น เรามักเปรียบเทียบชีวิตจริงของเราที่มีทั้งขึ้นและลง กับเรื่องราวที่ผ่านการคัดกรองแล้วของคนอื่น ซึ่งส่วนใหญ่นำเสนอแต่ช่วงเวลาที่ดีที่สุดเท่านั้น.[ ] เทคโนโลยีที่อำนวยความสะดวก .เมื่อทุกอย่างสั่งได้ง่ายๆ เราก็เริ่มคิดว่าทุกอย่างในชีวิตก็ควรง่ายเช่นกัน เกิดเป็นปรากฏการณ์ที่เรียกว่า "การขยายความคาดหวัง" (Expectation Amplification) ที่ส่งผลกระทบต่อทุกมิติของชีวิต ซึ่งล้วนเกิ ดจากการที่เราถูกปรนเปรอด้วยความสะดวกสบายจนเกิดภาวะ "ทนความยากลำบากไม่ได้" (Low Frustration Tolerance).[ ] กระแสการพัฒนาตนเอง .ประเด็นนี้ Dr. Svend Brinkmann นักจิตวิทยาชาวเดนมาร์ก ได้วิพากษ์วิจารณ์ในหนังสือ "Stand Firm" ว่า วัฒนธรรมการพัฒนาตนเองบางครั้งสร้างแรงกดดันให้เราต้องมีความสุข ประสบความสำเร็จ และพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลา จนเกิดเป็น "ความเครียดจากการพัฒนาตนเอง" (Self-improvement Stress)..เปลี่ยนความคาดหวังที่เป็นพิษ ให้เป็นมิตรกับชีวิตจริง.จากการศึกษาทั้งหมดที่ได้หยิบยกมา การเลิกคาดหวังสูงเกินไปไม่ใช่เรื่องของการยอมแพ้ แต่เป็นศิลปะของการปรับสมดุลทางจิตใจให้สอดคล้องกับความเป็นจริง การปรับความคาดหวังเหมือนการปรับระดับเสียงให้ไม่ดังหรือค่อยจนเกินไป เพื่อให้ได้ยินเสียงที่ชัดเจนและไพเราะที่สุด.[ ] ฝึกการอยู่กับปัจจุบัน.การฝึกสติช่วยให้เราตื่นรู้กับความคิดและความรู้สึกที่กำลังเกิดขึ้น เมื่อเราสังเกตเห็นว่าตัวเองกำลังคาดหวังสูงเกินไปหรือกำลังเปรียบเทียบชีวิตตัวเองกับคนอื่น เราจะสามารถหยุดและปรับมุมมองได้ทันที.เราสามารถทำได้โดยนั่งสมาธิสั้นๆ วันละ 10 นาที โดยเน้นการรับรู้ลมหายใจและความรู้สึกในร่างกาย ฝึกหยุดคิดเมื่อรู้สึกว่ากำลังเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น และเวลารู้สึกเครียดหรือผิดหวัง ให้หายใจลึกๆ และถามตัวเอง "ฉันกำลังคาดหวังอะไรที่ไม่สมเหตุสมผลอยู่หรือเปล่า?".[ ] ตั้งเป้าหมายที่ยืดหยุ่น.แทนที่จะตั้งเป้าหมายแบบตายตัวที่เน้นแค่ความสำเร็จ ลองตั้งเป้าหมายที่เน้นกระบวนการและการเรียนรู้ เป้าหมายแบบยืดหยุ่นทำให้เราไม่ยึดติดกับผลลัพธ์มากเกินไป และเปิดใจรับกับความเป็นไปได้ที่หลากหลาย.เช่น "ฉันจะทำงานอย่างเต็มที่" แทนที่จะเป็น "ฉันต้องได้เลื่อนตำแหน่ง" หลีกเลี่ยงการตั้งเป้าหมายที่มีเงื่อนไขความสุข เช่น "ฉันจะมีความสุขก็ต่อเมื่อ..." และมีแผนสำรองเสมอ พร้อมปรับเปลี่ยนเมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไป.[ ] เปลี่ยนคำพูดกับตัวเอง.ภาษาที่เราใช้สื่อสารกับตัวเองมีอิทธิพลอย่างมากต่อความคาดหวังและมุมมองที่เรามีต่อชีวิต คำพูดแบบเด็ดขาดมักนำไปสู่ความผิดหวังและตัดสินตัวเองรุนแรงเมื่อสิ่งต่างๆ ไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง โดยเราสามารถเปลี่ยนคำพูดกับตัวเองทำได้โดยเปลี่ยนคำว่า "ต้อง" "ควรจะ" เป็น "อาจจะ" "มีโอกาสที่" หรือ "ถ้าเป็นไปได้" .แทนที่จะบอกว่า "ฉันล้มเหลวอีกแล้ว" ลองพูดว่า "ครั้งนี้ยังไม่สำเร็จ แต่ฉันได้เรียนรู้..." และตั้งคำถามที่เปิดกว้าง เช่น "จะเกิดอะไรขึ้นถ้า..." แทนที่จะด่วนสรุปว่า "มันจะต้องแย่แน่ๆ...".[ ] หาคุณค่าในทุกประสบการณ์การมองเห็นคุณค่าและบทเรียนในทุกสถานการณ์ ไม่ว่าจะดีหรือร้าย ช่วยให้เราไม่ยึดติดกับความคาดหวังว่าชีวิตต้องราบรื่นตลอดเวลา.วิธีฝึกหาคุณค่าในทุกประสบการณ์ทำได้โดยจดบันทึกสิ่งที่ได้เรียนรู้จากความท้าทายที่เผชิญ ตั้งคำถามเชิงบวกกับตัวเอง เช่น "ประสบการณ์นี้สอนอะไรฉันบ้าง?" หรือ "ฉันจะเติบโตจากสิ่งนี้ได้อย่างไร?" และแบ่งปันเรื่องราวความล้มเหลวและการเรียนรู้กับคนอื่น เพื่อช่วยให้เห็นว่าความยากลำบากเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตทุกคน..อย่างไรก็ตามการเลิกคาดหวังว่าชีวิตต้องง่ายไม่ได้หมายความว่าเราต้องมองโลกในแง่ร้าย แต่เป็นการเปิดใจยอมรับว่า ชีวิตมีทั้งสุขและทุกข์ และนั่นคือธรรมชาติของการมีชีวิต อีกทั้งความยืดหยุ่นทางอารมณ์ ยังเป็นความสามารถในการยอมรับและจัดการกับอารมณ์ทั้งด้านบวกและด้านลบได้อย่างเหมาะสม ทำให้คุณมีความสุขง่ายๆ ในชีวิตได้มากขึ้น.เพราะเมื่อเรายอมรับความจริงนี้ได้ เราจะพบกับอิสรภาพที่แท้จริง ..อ้างอิง- Can Seeking Happiness Make People Unhappy? - Iris B. Mauss, Emotion - bit.ly/44To5Az - Tal Ben-Shahar’s Happiness Model - Ben Janse, Toolshero - bit.ly/44rUqOY - Review of the Upside of Your Dark Side: Why Being Your Whole Self – Not Just Your “Good” Self – Drives Success and Fulfillment, by Todd Kashdan and Robert Biswas-Diener - Acacia C. Parks, International Journal of Wellbeing - bit.ly/3F4rxxI - System 1 and System 2 Thinking - Joshua Loo, The Decision Lab - bit.ly/3EXXnMH - Resisting the Self-Improvement Craze - Svend Brinkmann, RSA YouTube Channel - bit.ly/4k3fPCp ..#Happiness#trend#missiontothemoon#missiontothemoonpodcast
2 days ago | [YT] | 347
เจอปัญหาแล้วคิดช้า? 🤔ไม่กล้าตัดสินใจเพราะไม่มั่นใจในตัวเอง?.จะดีกว่าไหมถ้าเรา “คิดวิเคราะห์” ได้เก่ง มองได้กว้าง และหาทางออกได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าปัญหาที่เข้ามาจะเป็นรูปแบบไหน.🧠 มาเข้าใจการทำงานของสมอง พร้อมเรียนรู้เทคนิคการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ กับคอร์ส “Think Smarter, Solve Faster คิดเป็นระบบ แก้ปัญหาไว ตัดสินใจเก่ง” คอร์สสั้นๆ ที่จะช่วยพัฒนาทักษะการคิด วิเคราะห์ และตัดสินใจ ติดตัวได้ตลอดชีวิต นำไปใช้ได้ทั้งในการเรียน การทำงาน และชีวิตประจำวัน.ถ่ายทอดความรู้โดย คุณทศ ศุภกฤต อังก์วราปิติกร อาจารย์พิเศษ วิทยากร ที่ปรึกษาการพัฒนาทักษะการคิด.📍 สมัครเรียนได้เลยที่ academy.missiontothemoon.co/think-smarter-solve-fa…ราคาเพียง 990 บาท สมัครครั้งเดียว เรียนได้ตลอดชีพ..#ThinkSmarterSolveFaster#missionacademy#missiontothemoon
3 days ago | [YT] | 136
Guess what?ผ้าห่มใหม่จากมิชชั่น จะเป็นลายไหนกันนะ?บอกเลยว่าลายนี้…ใช้ได้ในทุกออฟฟิศ!ใช้ตอนทำงานก็ได้ ใช้ตอนนั่งคุยกับเพื่อนก็ดี อุ่นเบาๆ ได้ทั้งวัน .จับตามองให้ดี เพราะสินค้าใหม่จาก Mission To The Moon กำลังจะเปิดตัว!📌พบกัน 7 พฤษภาคมนี้ เวลา 9:00 น.Pre-Sale เฉพาะที่ LINE SHOPPING.มาแน่ พร้อมเปลี่ยนวันทำงานธรรมดาให้พิเศษกว่าที่เคย.#ComingSoon#MissiontotheMoon #missiontothemoonpodcast
3 days ago | [YT] | 30
เตรียมตัวพบกับสินค้าใหม่จาก Mission To The Moon !
4 days ago | [YT] | 80
View 8 replies
📝12 บทเรียนเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นก้าวใหม่ในชีวิต จากคุณตัน ภาสกรนที..เส้นทางของชีวิตและธุรกิจไม่เคยราบรื่น เราทุกคนล้วนต้องเผชิญกับอุปสรรค ทางตัน หรือแม้แต่ความล้มเหลวเป็นครั้งคราว แต่สิ่งที่จะนำพาเราไปสู่ความสำเร็จ คือการไม่ยอมแพ้ต่อสิ่งเหล่านั้น และยังคงมองหาโอกาสแม้ในช่วงเวลาวิกฤต.คุณตัน ภาสกรนที แห่ง “อิชิตัน กรุ๊ป” เป็นตัวอย่างของผู้ที่มองเห็นโอกาสแม้ในยามวิกฤต นี่คือ 12 บทเรียนล้ำค่าที่กลั่นจากการพูดคุยใน “เพราะในทุกวิกฤต…มักมีโอกาสซ่อนอยู่เสมอ กับ ‘คุณตัน ภาสกรนที’ | Mission To The Moon EP.2394” เป็นประสบการณ์ตรงที่คุณสามารถนำไปปรับใช้กับธุรกิจและชีวิตของตัวเองได้..1. โฟกัสสิ่งเดียวให้สุด ดีกว่าทำหลายอย่างแต่ไม่เห็นผล คุณตันเคยทำหลายธุรกิจพร้อมกันแต่ไม่รวย จนมาโฟกัสโออิชิเพียงแบรนด์เดียวแล้วเปลี่ยนชีวิต.2. ความสำเร็จที่แท้จริง เริ่มจากการยอมรับว่าเรายังไม่รู้ คุณตันเรียนรู้จากคนรอบข้างทุกระดับ ไม่อายที่จะถาม ไม่กลัวที่จะลอง.3. วิกฤตคือบททดสอบความกล้าตัดสินใจ ในปี 2540 คุณตันเลือกตัดแขนขารักษาชีวิต ขายทรัพย์สินขาดทุน เพื่อลดหนี้ แทนที่จะยื้อจนล้มหมด.4. มองเห็นโอกาสจากพฤติกรรมผู้บริโภคจริง ชาเขียวบรรจุขวดเกิดจากการสังเกตว่าลูกค้าดื่มเยอะในร้านบุฟเฟต์ ประกอบกับการศึกษาตลาดจากประเทศญี่ปุ่นและไต้หวันที่มีชาเขียวในขวดมาก่อนแล้ว.5. เลือกสนามแข่งขันที่เหมาะกับเรา แล้ววิ่งให้เร็วกว่าใคร คุณตันเริ่มจากต่างจังหวัด เพราะคู่แข่งน้อย คนจำง่าย และมีโอกาสสร้างชื่อเร็ว.6. ถ้าไม่มีเงินทุน จงใช้ประสบการณ์เป็นต้นทุน คุณตันเรียนรู้จากการลงมือทำทุกงาน เก็บทักษะไว้เป็นคลังอาวุธในอนาคต.7. อย่าเพิ่งคิดว่า “ถูกใจเรา” เท่ากับ “ขายได้” คุณตันไม่ยึดติดกับสิ่งที่ตัวเองชอบ แต่ดูว่าสิ่งไหน “ลูกค้าซื้อจริง”.8. ข้อมูลลูกค้าที่ดีที่สุด ไม่ใช่จากแบบสอบถาม แต่จาก “การแอบฟัง” เพราะต่อหน้าลูกค้ามักตอบให้เกียรติ แต่สิ่งที่พูดลับหลัง หรือคุยกันเอง คือความจริงที่แบรนด์ควรเอาไปปรับใช้.9. ยกมือก่อน ได้โอกาสก่อน คุณตันอาสารับงานก่อนคนอื่น แม้ไม่รู้จะทำได้หรือไม่ แต่เมื่อได้รับโอกาสแล้วต้องทำให้ดีที่สุด ซึ่งนั่นจะทำให้คนไว้ใจ.10. บทเรียนสำคัญในการทำธุรกิจคือการเลือกหุ้นส่วนที่ดี หุ้นส่วนต้องมีจิตวิญญาณความเป็นเจ้าของ เข้าใจเงื่อนไขและการแบ่งผลประโยชน์ที่ชัดเจน.11. แม้โลกจะเปลี่ยนไป แต่หลักการพื้นฐานยังคงเดิม ความขยัน ซื่อสัตย์ และอดทนอาจไม่ทำให้รวยทันที แต่จะทำให้สำเร็จอย่างภาคภูมิใจในที่สุด.12. “ทุกวิกฤตผ่านได้ ไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้” ความเชื่อมั่นในตัวเองเป็นสิ่งสำคัญที่สุด อย่าดูถูกตัวเอง เชื่อว่าตัวเองทำได้ และพร้อมที่จะเรียนรู้ปรับตัวอยู่เสมอ ถ้ายังไม่สำเร็จ แสดงว่ายังพยายามไม่พอ.สามารถรับชม Mission To The Moon EP.2394 | เพราะในทุกวิกฤต…มักมีโอกาสซ่อนอยู่เสมอ กับ ‘คุณตัน ภาสกรนที’ ฉบับเต็มได้ที่ : bit.ly/4iBPvhB..#ธุรกิจ#มุมมองชีวิต#missiontothemoon#missiontothemoonpodcast
5 days ago | [YT] | 130
Load more
Mission To The Moon
เคยสงสัยไหมว่า ทำไมบางคนถึงประสบความสำเร็จในชีวิตได้อย่างน่าทึ่ง ทั้งในแง่การงาน ความสุข และความมั่งคั่ง?
.
เราหลายคนอาจคิดว่าเป็นเพราะพวกเขาฉลาดกว่า โชคดีกว่า หรือมีพรสวรรค์พิเศษ แต่มหาเศรษฐีอันดับต้นๆ ของโลกอย่าง Warren Buffett กลับมองว่า ปัจจัยสำคัญที่สุดอยู่ที่การเลือกคบคนรอบตัว คนที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่ไม่ได้เติบโตเพียงเพราะเงินทองหรือความสามารถของตนเอง แต่เพราะพวกเขาเลือกล้อมรอบตัวเองด้วยคนที่ยกระดับพวกเขาให้เป็นเวอร์ชั่นที่ดีที่สุดของตัวเอง
.
ท่ามกลางอากาศอบอุ่นของการประชุมผู้ถือหุ้นประจำปีของ Berkshire Hathaway ที่เพิ่งผ่านไป Warren Buffett มหาเศรษฐีในตำนานได้ทิ้งข้อคิดที่ไม่มีใครคาดคิด เพราะแทนที่เขาจะพูดถึงหุ้นตัวไหนที่น่าลงทุน หรือกลยุทธ์ทำเงินแบบไหนให้รวยทันใช้ เขากลับบอกว่าสิ่งสำคัญที่สุดคือ “การเลือกคบหาคนที่ถูกต้องตลอดช่วงชีวิตของเรา”
.
เมื่อมีนักลงทุนหน้าใหม่ถามถึงบทเรียนสำคัญในชีวิตและคำแนะนำสำหรับนักลงทุนรุ่นใหม่ คำตอบของเขาไม่เกี่ยวกับการเลือกหุ้นหรือสินทรัพย์ระยะยาวที่ดีที่สุดแต่อย่างใด เขากลับพูดถึงประเภทของคนที่นักลงทุนควรคบหาตลอดชีวิต
.
.
เพื่อนที่คุณคบ ส่งผลต่อเส้นทางชีวิตของคุณ
.
"คนที่คุณคบหาสำคัญอย่างมหาศาล และอย่าคาดหวังว่าคุณจะตัดสินใจถูกในทุกเรื่อง" Buffett กล่าวอย่างจริงจัง และเขายังกล่าวเพิ่มอีกว่าชีวิตของคุณจะพัฒนาไปในทิศทางเดียวกับคน 3 กลุ่มที่อยู่รอบตัวคุณ ได้แก่ คนที่คุณทำงานด้วย คนที่คุณชื่นชม และคนที่กลายเป็นเพื่อนของคุณ
.
เขายังเน้นย้ำด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมด้วยประสบการณ์ว่า บนโลกใบนี้มีคนที่ทำให้คุณอยากเป็นคนที่ดีกว่าเดิม และคุณควรอยู่กับคนที่ดีกว่าคุณ และที่คุณรู้สึกว่าพวกเขาดีกว่าคุณ
.
คำแนะนำนี้สร้างความประหลาดใจให้กับผู้เข้าร่วมการประชุมไม่น้อย เมื่อชายวัย 93 ปีผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็น "เทพแห่งการลงทุน" กลับไม่พูดถึงการเงินหรือการลงทุนแม้แต่น้อย แต่หันมาให้ความสำคัญกับการเลือกคบคน ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาเชื่อว่ามีผลต่อความสำเร็จในระยะยาวมากกว่า
.
ในช่วงชีวิตอันยาวนานของ Buffett ทั้งในฐานะนักลงทุนและนักธุรกิจ เขาได้พิสูจน์แล้วว่าคนรอบตัวคือกุญแจสำคัญในความสำเร็จของเขา ตั้งแต่การร่วมงานกับ Charlie Munger ผู้ร่วมงานคนสำคัญที่ช่วยขัดเกลาวิธีคิดของเขา ไปจนถึงการเลือกผู้บริหารที่มีคุณธรรมและความสามารถให้กับบริษัทต่างๆ ในเครือ Berkshire Hathaway
.
พลังของการล้อมรอบตัวเองด้วยคนคุณภาพนั้นสอดคล้องกับกฎที่ว่า "เราเป็นค่าเฉลี่ยของคน 5 คนที่เราใช้เวลาด้วยมากที่สุด" หากคุณอยู่รายล้อมด้วยคนขี้เกียจ โอกาสที่คุณจะขี้เกียจตามไปด้วยก็มีสูง ในทางกลับกัน หากคุณอยู่ท่ามกลางคนที่มุ่งมั่น สร้างสรรค์ และมีวินัย คุณก็มีแนวโน้มที่จะซึมซับคุณลักษณะเหล่านี้ไปด้วยนั่นเอง
.
.
ไม่ใช่แค่เลียนแบบคนรวย แต่ต้องรายล้อมด้วยคนเก่ง
.
Buffett ยังอธิบายเพิ่มเติมอีกว่า คำแนะนำของเขาแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากการเพียงแค่ติดตามคนที่หาเงินได้มากและพยายามเลียนแบบสิ่งที่พวกเขาทำ เพราะตลอดชีวิตการลงทุน เขาพยายามอยู่รายล้อมด้วยคนฉลาดที่เขาสามารถเรียนรู้ได้ นอกจากนี้ Buffett ยังกล่าวอีกว่าทุกคนควรตอบแทนความช่วยเหลือที่ผู้อื่นมอบให้
.
"การทำเช่นนี้ก็เหมือนกับแนวคิดของการสร้างผลตอบแทนทบต้นในการลงทุน เพราะถ้าคุณรายล้อมไปด้วยคนที่เก่ง ก็จะเกิดการทบต้นของเจตนาที่ดีและพฤติกรรมที่ดี แต่น่าเสียดายที่คุณก็สามารถได้รับสิ่งตรงข้ามในชีวิตได้เช่นกัน"
.
ในยุคที่ "Fake it till you make it" กลายเป็นคติประจำใจของคนรุ่นใหม่ คำแนะนำของ Buffet กำลังพยายามทำให้เราหันกลับมาทบทวนการมองความสำเร็จเสียใหม่ เขาเชื่อในการเรียนรู้จากคนที่เก่งกว่า แทนที่จะเพียงแค่แสร้งทำตัวเลียนแบบพวกเขา
.
ประวัติศาสตร์ได้พิสูจน์แล้วว่า Buffett ไม่เคยพยายามคัดลอกกลยุทธ์ของนักลงทุนคนอื่น แต่เขาศึกษาและเรียนรู้จากพวกเขา แล้วนำมาปรับใช้ให้เหมาะกับตัวเอง ตั้งแต่การเรียนรู้จาก Benjamin Graham บิดาแห่งการลงทุนแบบคุณค่า ที่ทำให้เขาพัฒนาวิธีการลงทุนแบบเฉพาะตัวที่ผสมผสานทั้งศาสตร์และศิลป์
.
คำแนะนำของเขายังสะท้อนถึงความสำคัญของการมีเครือข่ายความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะในโลกธุรกิจที่ความสำเร็จมักเกิดจากการร่วมมือกัน ไม่ใช่การแข่งขันเพียงอย่างเดียว การสร้างเครือข่ายของคนที่มีค่านิยมและเป้าหมายคล้ายกันสามารถเปิดประตูสู่โอกาสที่ไม่คาดคิดได้มากมาย
.
.
หางานที่ทำแล้วมีความสุข ดีกว่าทุกข์กับงานที่ไม่ชอบ
.
ในขณะที่คนส่วนใหญ่วิ่งตามความมั่งคั่งทางวัตถุ Buffett กลับแนะนำให้หาอาชีพที่คุณจะทำแม้ไม่จำเป็นต้องได้เงิน และเตือนไม่ให้คบหากับคนที่ "บอกให้คุณทำสิ่งที่คุณไม่ควรทำ"
.
เขาเล่าถึงสิ่งที่สังเกตเห็นตลอดหลายทศวรรษในวงการธุรกิจว่า "น่าสนใจมากที่คนทำงานในวงการลงทุนจำนวนมากออกจากธุรกิจหลังจากที่พวกเขาหาเงินได้มากแล้ว คุณควรหาสิ่งที่คุณจะทำต่อไป ไม่ว่าคุณจะต้องการเงินหรือไม่ก็ตาม"
.
คำพูดนี้สะท้อนปรัชญาชีวิตที่ลึกซึ้งของชายผู้ยังคงทำงานที่เขารักแม้ในวัย 93 ปี และมีทรัพย์สินมหาศาลที่ทำให้เขาสามารถเกษียณอย่างสุขสบายได้มานานหลายทศวรรษแล้ว
.
ทฤษฎีความสุขในการทำงานของ Buffett สอดคล้องกับแนวคิด "Ikigai" ของชาวญี่ปุ่น ที่เชื่อว่าความสุขที่แท้จริงเกิดจากการได้ทำสิ่งที่ตัวเองรัก สิ่งที่ตัวเองเก่ง สิ่งที่โลกต้องการ และสิ่งที่เราได้รับค่าตอบแทน การค้นหางานที่ตอบโจทย์ทั้งสี่ด้านนี้คือกุญแจสู่ชีวิตที่มีความหมาย
.
Buffett เองก็เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของคนที่ทำงานด้วยความรัก เขาเคยกล่าวว่ารู้สึกเหมือน "เต้นรำไปสู่ที่ทำงานทุกวัน" และยังคงตื่นเต้นกับการตัดสินใจลงทุนเหมือนกับตอนที่เขาเริ่มต้นธุรกิจในวัยหนุ่ม ความกระตือรือร้นนี้ไม่ได้เกิดจากเงินทอง แต่เกิดจากความหลงใหลในสิ่งที่เขาทำ
.
นอกจากนี้ ในงานประชุมเมื่อมีนักลงทุนสาวรายหนึ่งลุกขึ้นถามว่าเธอควรทำอย่างไรเพื่อให้ได้งานที่ Berkshire Hathaway ในอนาคต คำตอบของ Buffett คือ "รักษาความอยากรู้อยากเห็นไว้ และอ่านหนังสือให้มาก"
.
คำตอบสั้นๆ นี้อาจดูไม่ได้ให้แนวทางที่ชัดเจน แต่มันกลับบอกถึงคุณสมบัติหลักที่ Buffett มองหาในคนที่จะร่วมงานด้วย นั่นคือใจที่เปิดกว้าง พร้อมเรียนรู้ และเสาะแสวงหาความรู้อยู่เสมอ ซึ่งสำหรับการลงทุนจริงๆ เขายืนยันมาตลอดว่าคนไม่ควรเลียนแบบสิ่งที่เขาทำกับพอร์ตการลงทุนของ Berkshire แม้จะมีผู้ติดตามมากมาย และควรนำเงินไปลงทุนในกองทุนดัชนี S&P 500 แทน
.
ความเรียบง่ายในคำแนะนำของ Buffett อาจทำให้หลายคนรู้สึกผิดหวัง โดยเฉพาะผู้ที่คาดหวังจะได้ยินเคล็ดลับลัดสู่ความร่ำรวย แต่มันคือภูมิปัญญาที่ผ่านการกลั่นกรองจากประสบการณ์กว่า 70 ปีในวงการลงทุน
.
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนรุ่นใหม่ควรเข้าใจว่า ความอยากรู้อยากเห็นและการอ่านคือทักษะพื้นฐานที่จะสร้างพลังความคิดวิเคราะห์และความเข้าใจต่อโลกธุรกิจ แทนที่จะจดจ่อแต่กับเทคนิคการหาหุ้นที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่า Buffett เน้นการพัฒนาวิธีคิดและกรอบความคิดที่ถูกต้อง ซึ่งสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ในทุกสถานการณ์
.
.
สุดท้ายแล้ว “ความมั่งคั่งที่แท้จริงคืออะไร?” ก็ยังคงเป็นสิ่งที่ Warren Buffett พยายามสะท้อนปรัชญาชีวิตของเขาออกมาผ่านการประชุมครั้งนี้ ความสำเร็จจากมุมมองไม่ได้วัดที่ตัวเลขในบัญชีธนาคาร แต่วัดที่คุณภาพของคนรอบข้างที่คุณเลือกคบหา อาชีพที่คุณหลงใหล และความอยากรู้อยากเห็นที่ไม่มีวันหมด
.
เพราะสุดท้ายแล้ว ชีวิตที่ประสบความสำเร็จอย่างแท้จริงไม่ได้วัดที่จำนวนเงินในบัญชี แต่วัดที่จำนวนคนคุณภาพที่ยินดีจะอยู่เคียงข้างเราในทุกช่วงเวลาของชีวิต ไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์ ไม่ว่าจะรุ่งโรจน์หรือล้มเหลว
.
.
อ้างอิง
- Warren Buffett has this advice for young investors—and it has nothing to do with where they should put their money - Jason Ma, Fortune - bit.ly/4jNJEr0
- ‘Don’t worry’ about your salary early in your career, Warren Buffett says—focus on this ‘enormously important’ factor instead - Kamaron McNair, CNBC - bit.ly/4dcj9sO
.
.
#WarrenBuffett
#trend
#missiontothemoon
#missiontothemoonpodcast
10 hours ago | [YT] | 148
View 0 replies
Mission To The Moon
#missionชวนคุย มาแชร์กันว่า...
1 day ago | [YT] | 108
View 2 replies
Mission To The Moon
เปิด Pre-Sale แล้ว! 🎉 "Mission To The Moon Office Blanket"
ผ้าห่มติดออฟฟิศที่จะทำให้การทำงานของคุณมีสีสันขึ้น
.
ผ้าห่มออฟฟิศ 2 โหมด เปลี่ยนด้านเปลี่ยนสถานะ สินค้าใหม่ล่าสุดจาก Mission To The Moon
ลดการรบกวนที่ไม่จำเป็น และช่วยให้การทำงานในออฟฟิศสะดวกขึ้น
.
ผ้าห่มนาโน ขนาด 70x140 ซม. สองฝั่งสองสไตล์ในผืนเดียว
[ ] สีน้ำเงินเข้ม Focused Mode (Please don't talk to me) บอกว่าคุณกำลังโฟกัสกับงาน
[ ] สีชมพูอ่อน Social Butterfly Mode (Talk to me please!) บอกว่าคุณพร้อมสำหรับการพูดคุย
.
พร้อมเปิดจองแล้วในราคาพิเศษ! เพียง 690 บาท จากปกติ 790 บาท
.
📅พบกันวันที่ 7 พฤษภาคม 2568
.
📲 สั่งเลยที่ Line Shopping: shop.line.me/@missiontothemoon/product/1007343133
.
.
#OfficeBlanket
#WorkFromHappiness
#missiontothemoon
#missiontothemoonpodcast
1 day ago | [YT] | 44
View 1 reply
Mission To The Moon
📣 มาแล้ว! LIVE Pre-Sale “Office Blanket”
.
Office Blanket ผ้าห่มบอก Status สำหรับคนทำงานและนักศึกษา สินค้าใหม่ล่าสุดจาก Mission To The Moon
.
ผ้าห่มที่จะช่วยบอกให้เพื่อนๆ รู้ว่าคุณกำลังต้องการสมาธิหรือพร้อมที่จะพูดคุย ลดการรบกวนที่ไม่จำเป็น และช่วยให้การทำงานในออฟฟิศสะดวกขึ้น
.
ผ้าห่มนาโน ขนาด 70x140 ซม. สองฝั่งสองสไตล์ในผืนเดียว
[ ] สีน้ำเงินเข้ม Focused Mode (Please don't talk to me) บอกว่าคุณกำลังโฟกัสกับงาน
[ ] สีชมพูอ่อน Social Butterfly Mode (Talk to me please!) บอกว่าคุณพร้อมสำหรับการพูดคุย
.
พร้อมเปิดจองแล้วในราคาพิเศษ! เพียง 690 บาท จากปกติ 790 บาท
.
📅 พบกันวันที่ 7 พฤษภาคม 2568
⏰ เวลา 19:00 - 20:00 น.
.
📲 รับชมได้ทาง
[ ] Facebook: bit.ly/32Oe4nW
[ ] YouTube: bit.ly/3DWhaFG
[ ] TikTok: bit.ly/35Gq8aX
.
.
#missiontothemoon
#missiontothemoonpodcast
2 days ago | [YT] | 39
View 0 replies
Mission To The Moon
สวัสดีคร้าบทุกคน~ สมมูนขอมาประกาศรายชื่อผู้โชคดีจาก Comment ชวนคุย✨
ใน เตรียมเงินสดให้พร้อม ก่อนพายุใหญ่กว่าโควิดจะมา | Mission To The Moon EP.2391
รายชื่อผู้ได้รับรางวัล Srichand. Timeless Anti-Aging Facial Serum ทั้งหมด 10 ท่านได้แก่
@mtch888
@spark631
@kachakara
@aeyoyoro4978
@sawberry2812
@MartinPenguin
@sureeratrabob1153
@Dodosolsollalasol30
@akekaphongkahapanakun924
@dr.ramidakarnchanawong4597
รบกวนติดต่อรับรางวัลทาง Inbox FB Fanpage :: www.facebook.com/missiontothemoonofficial ภายในวันที่ 12 พฤษภาคม 2568 เพื่อให้ทีมงานดำเนินการจัดส่งของรางวัลให้ทางไปรษณีย์ครับผม
(สงวนสิทธิ์ให้กับผู้ที่รายงานตัวภายในระยะเวลาที่กำหนดเท่านั้น)
สมมูนขอขอบคุณแฟนรายการทุกท่านที่ซัปพอร์ต Mission To The Moon กันมาตลอดนะคร้าบ💙
2 days ago | [YT] | 33
View 0 replies
Mission To The Moon
ปัจจุบันเราอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยความสะดวกสบาย ตั้งแต่การกดสั่งอาหาร จนถึงการชอปปิงออนไลน์ ทุกอย่างถูกออกแบบให้เราใช้ชีวิตง่ายขึ้น ทำให้เราเริ่มเชื่อว่า "ชีวิตที่ดี" คือชีวิตที่ราบรื่น ไม่มีปัญหา และเต็มไปด้วยความสุข โดยเฉพาะเมื่อเราเห็นภาพในโซเชียลมีเดียที่คนอื่นดูมีความสุขตลอดเวลา
.
แต่ความคิดนี้กำลังจะถูกท้าทายให้เราคิดทบทวนใหม่อีกครั้ง เมื่อศาสตราจารย์ Tal Ben-Shahar จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาเชิงบวก ได้กล่าวว่าปรากฏการณ์นี้เป็น "มายาคติของความสุขแบบต่อเนื่อง" (The Myth of Continuous Happiness) ซึ่งทำให้ผู้คนคาดหวังว่าจะต้องรู้สึกดีตลอดเวลา
.
สิ่งนี้สร้างความกดดันและนำไปสู่ความผิดหวังเมื่อเผชิญกับความท้าทายที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในชีวิตจริง แต่เมื่อเราคาดหวังแบบนั้น แล้วชีวิตจริงไม่เป็นไปตามที่หวัง เรากลับรู้สึกผิดหวัง เครียด และไม่พอใจมากขึ้นเรื่อยๆ ปรากฏการณ์นี้ถูกเรียกในวงการจิตวิทยาว่า "ผลกระทบของความคาดหวังที่ไม่สมปรารถนา" (Expectation Discrepancy Effect)
.
คำถามจึงไม่ใช่แค่ "ทำไมชีวิตมันยาก?" แต่เป็น "ทำไมเราถึงคิดว่ามันควรจะง่าย?"
.
ล่าสุด งานวิจัยทางจิตวิทยาหลายชิ้นพบว่า มันอาจจริงที่ว่า ชีวิตจะง่ายขึ้นมาก ถ้าเราเลิกคาดหวังตั้งแต่แรกว่ามันต้องง่าย
.
.
ปัญหาของการแสวงหาความสุข เมื่อความสุขกลายเป็นความกดดัน
.
งานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Emotion โดย Dr. Iris Mauss และคณะ (2011) พบว่า "ยิ่งเราพยายามแสวงหาความสุขมากเท่าไร เรากลับยิ่งรู้สึกผิดหวังและไม่มีความสุขมากขึ้นเท่านั้น" โดยการศึกษานี้ได้ทำการทดลองกับกลุ่มตัวอย่าง 282 คน แบ่งเป็นกลุ่มที่ให้ความสำคัญกับการแสวงหาความสุขสูงและกลุ่มที่ไม่ได้เน้นเรื่องนี้
.
ผลการวิจัยชี้ให้เห็นว่า กลุ่มที่ให้ความสำคัญกับการแสวงหาความสุขมากเกินไปมีแนวโน้มที่จะเกิดอาการซึมเศร้า วิตกกังวล และมีความพึงพอใจในชีวิตต่ำกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
.
เช่นเดียวกับงานวิจัยของ Dr. Todd Kashdan จากมหาวิทยาลัย George Mason ที่พบว่าคนที่พยายามหาความสุขอย่างจริงจัง กลับเครียด หงุดหงิด และรู้สึกไม่พอใจกับชีวิตมากกว่าคนที่ยอมรับทั้งด้านบวกและด้านลบของชีวิต
.
นี่ไม่ได้หมายความว่า "เราไม่ควรมีความสุข" แต่เป็นการเตือนว่า การคาดหวังให้ทุกวันต้องสมบูรณ์แบบ จะทำให้เรากลับทุกข์มากขึ้น ปรากฏการณ์นี้ถูกเรียกว่า "กับดักการไล่ล่าความสุข" (The Happiness Paradox)
.
.
ทำไมเราถึงคาดหวังมากเกินไป
.
แล้วทำไมเราถึงตกหลุมพรางนี้? การศึกษาด้านประสาทวิทยาของ Dr. Daniel Kahneman (นักจิตวิทยาผู้ได้รับรางวัลโนเบล) ที่ศึกษาเกี่ยวกับ "System 1 and System 2 Thinking" พบว่าสมองมนุษย์มีความลำเอียงโดยธรรมชาติที่จะมองหาความสะดวกสบายและหลีกเลี่ยงความยากลำบาก เมื่อผสานกับปัจจัยภายนอกในสังคมปัจจุบัน ทำให้เกิดพายุความคาดหวังที่สูงเกินจริงอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ
.
โดยปัจจุบันมีหลายสิ่งที่ทำให้เราคาดหวังสูงเกินจริง ไม่ว่าจะเป็น
.
[ ] โซเชียลมีเดีย
.
เราเห็นแต่ภาพสวยๆ ของชีวิตคนอื่น ทำให้เราคิดว่าชีวิตเราก็ควรเป็นแบบนั้น เรามักเปรียบเทียบชีวิตจริงของเราที่มีทั้งขึ้นและลง กับเรื่องราวที่ผ่านการคัดกรองแล้วของคนอื่น ซึ่งส่วนใหญ่นำเสนอแต่ช่วงเวลาที่ดีที่สุดเท่านั้น
.
[ ] เทคโนโลยีที่อำนวยความสะดวก
.
เมื่อทุกอย่างสั่งได้ง่ายๆ เราก็เริ่มคิดว่าทุกอย่างในชีวิตก็ควรง่ายเช่นกัน เกิดเป็นปรากฏการณ์ที่เรียกว่า "การขยายความคาดหวัง" (Expectation Amplification) ที่ส่งผลกระทบต่อทุกมิติของชีวิต ซึ่งล้วนเกิ ดจากการที่เราถูกปรนเปรอด้วยความสะดวกสบายจนเกิดภาวะ "ทนความยากลำบากไม่ได้" (Low Frustration Tolerance)
.
[ ] กระแสการพัฒนาตนเอง
.
ประเด็นนี้ Dr. Svend Brinkmann นักจิตวิทยาชาวเดนมาร์ก ได้วิพากษ์วิจารณ์ในหนังสือ "Stand Firm" ว่า วัฒนธรรมการพัฒนาตนเองบางครั้งสร้างแรงกดดันให้เราต้องมีความสุข ประสบความสำเร็จ และพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลา จนเกิดเป็น "ความเครียดจากการพัฒนาตนเอง" (Self-improvement Stress)
.
.
เปลี่ยนความคาดหวังที่เป็นพิษ ให้เป็นมิตรกับชีวิตจริง
.
จากการศึกษาทั้งหมดที่ได้หยิบยกมา การเลิกคาดหวังสูงเกินไปไม่ใช่เรื่องของการยอมแพ้ แต่เป็นศิลปะของการปรับสมดุลทางจิตใจให้สอดคล้องกับความเป็นจริง การปรับความคาดหวังเหมือนการปรับระดับเสียงให้ไม่ดังหรือค่อยจนเกินไป เพื่อให้ได้ยินเสียงที่ชัดเจนและไพเราะที่สุด
.
[ ] ฝึกการอยู่กับปัจจุบัน
.
การฝึกสติช่วยให้เราตื่นรู้กับความคิดและความรู้สึกที่กำลังเกิดขึ้น เมื่อเราสังเกตเห็นว่าตัวเองกำลังคาดหวังสูงเกินไปหรือกำลังเปรียบเทียบชีวิตตัวเองกับคนอื่น เราจะสามารถหยุดและปรับมุมมองได้ทันที
.
เราสามารถทำได้โดยนั่งสมาธิสั้นๆ วันละ 10 นาที โดยเน้นการรับรู้ลมหายใจและความรู้สึกในร่างกาย ฝึกหยุดคิดเมื่อรู้สึกว่ากำลังเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น และเวลารู้สึกเครียดหรือผิดหวัง ให้หายใจลึกๆ และถามตัวเอง "ฉันกำลังคาดหวังอะไรที่ไม่สมเหตุสมผลอยู่หรือเปล่า?"
.
[ ] ตั้งเป้าหมายที่ยืดหยุ่น
.
แทนที่จะตั้งเป้าหมายแบบตายตัวที่เน้นแค่ความสำเร็จ ลองตั้งเป้าหมายที่เน้นกระบวนการและการเรียนรู้ เป้าหมายแบบยืดหยุ่นทำให้เราไม่ยึดติดกับผลลัพธ์มากเกินไป และเปิดใจรับกับความเป็นไปได้ที่หลากหลาย
.
เช่น "ฉันจะทำงานอย่างเต็มที่" แทนที่จะเป็น "ฉันต้องได้เลื่อนตำแหน่ง" หลีกเลี่ยงการตั้งเป้าหมายที่มีเงื่อนไขความสุข เช่น "ฉันจะมีความสุขก็ต่อเมื่อ..." และมีแผนสำรองเสมอ พร้อมปรับเปลี่ยนเมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไป
.
[ ] เปลี่ยนคำพูดกับตัวเอง
.
ภาษาที่เราใช้สื่อสารกับตัวเองมีอิทธิพลอย่างมากต่อความคาดหวังและมุมมองที่เรามีต่อชีวิต คำพูดแบบเด็ดขาดมักนำไปสู่ความผิดหวังและตัดสินตัวเองรุนแรงเมื่อสิ่งต่างๆ ไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง โดยเราสามารถเปลี่ยนคำพูดกับตัวเองทำได้โดยเปลี่ยนคำว่า "ต้อง" "ควรจะ" เป็น "อาจจะ" "มีโอกาสที่" หรือ "ถ้าเป็นไปได้"
.
แทนที่จะบอกว่า "ฉันล้มเหลวอีกแล้ว" ลองพูดว่า "ครั้งนี้ยังไม่สำเร็จ แต่ฉันได้เรียนรู้..." และตั้งคำถามที่เปิดกว้าง เช่น "จะเกิดอะไรขึ้นถ้า..." แทนที่จะด่วนสรุปว่า "มันจะต้องแย่แน่ๆ..."
.
[ ] หาคุณค่าในทุกประสบการณ์
การมองเห็นคุณค่าและบทเรียนในทุกสถานการณ์ ไม่ว่าจะดีหรือร้าย ช่วยให้เราไม่ยึดติดกับความคาดหวังว่าชีวิตต้องราบรื่นตลอดเวลา
.
วิธีฝึกหาคุณค่าในทุกประสบการณ์ทำได้โดยจดบันทึกสิ่งที่ได้เรียนรู้จากความท้าทายที่เผชิญ ตั้งคำถามเชิงบวกกับตัวเอง เช่น "ประสบการณ์นี้สอนอะไรฉันบ้าง?" หรือ "ฉันจะเติบโตจากสิ่งนี้ได้อย่างไร?" และแบ่งปันเรื่องราวความล้มเหลวและการเรียนรู้กับคนอื่น เพื่อช่วยให้เห็นว่าความยากลำบากเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตทุกคน
.
.
อย่างไรก็ตามการเลิกคาดหวังว่าชีวิตต้องง่ายไม่ได้หมายความว่าเราต้องมองโลกในแง่ร้าย แต่เป็นการเปิดใจยอมรับว่า ชีวิตมีทั้งสุขและทุกข์ และนั่นคือธรรมชาติของการมีชีวิต อีกทั้งความยืดหยุ่นทางอารมณ์ ยังเป็นความสามารถในการยอมรับและจัดการกับอารมณ์ทั้งด้านบวกและด้านลบได้อย่างเหมาะสม ทำให้คุณมีความสุขง่ายๆ ในชีวิตได้มากขึ้น
.
เพราะเมื่อเรายอมรับความจริงนี้ได้ เราจะพบกับอิสรภาพที่แท้จริง
.
.
อ้างอิง
- Can Seeking Happiness Make People Unhappy? - Iris B. Mauss, Emotion - bit.ly/44To5Az
- Tal Ben-Shahar’s Happiness Model - Ben Janse, Toolshero - bit.ly/44rUqOY
- Review of the Upside of Your Dark Side: Why Being Your Whole Self – Not Just Your “Good” Self – Drives Success and Fulfillment, by Todd Kashdan and Robert Biswas-Diener - Acacia C. Parks, International Journal of Wellbeing - bit.ly/3F4rxxI
- System 1 and System 2 Thinking - Joshua Loo, The Decision Lab - bit.ly/3EXXnMH
- Resisting the Self-Improvement Craze - Svend Brinkmann, RSA YouTube Channel - bit.ly/4k3fPCp
.
.
#Happiness
#trend
#missiontothemoon
#missiontothemoonpodcast
2 days ago | [YT] | 347
View 2 replies
Mission To The Moon
เจอปัญหาแล้วคิดช้า? 🤔
ไม่กล้าตัดสินใจเพราะไม่มั่นใจในตัวเอง?
.
จะดีกว่าไหมถ้าเรา “คิดวิเคราะห์” ได้เก่ง มองได้กว้าง และหาทางออกได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าปัญหาที่เข้ามาจะเป็นรูปแบบไหน
.
🧠 มาเข้าใจการทำงานของสมอง พร้อมเรียนรู้เทคนิคการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ
กับคอร์ส “Think Smarter, Solve Faster คิดเป็นระบบ แก้ปัญหาไว ตัดสินใจเก่ง” คอร์สสั้นๆ ที่จะช่วยพัฒนาทักษะการคิด วิเคราะห์ และตัดสินใจ ติดตัวได้ตลอดชีวิต นำไปใช้ได้ทั้งในการเรียน การทำงาน และชีวิตประจำวัน
.
ถ่ายทอดความรู้โดย คุณทศ ศุภกฤต อังก์วราปิติกร อาจารย์พิเศษ วิทยากร ที่ปรึกษาการพัฒนาทักษะการคิด
.
📍 สมัครเรียนได้เลยที่ academy.missiontothemoon.co/think-smarter-solve-fa…
ราคาเพียง 990 บาท สมัครครั้งเดียว เรียนได้ตลอดชีพ
.
.
#ThinkSmarterSolveFaster
#missionacademy
#missiontothemoon
3 days ago | [YT] | 136
View 0 replies
Mission To The Moon
Guess what?
ผ้าห่มใหม่จากมิชชั่น จะเป็นลายไหนกันนะ?
บอกเลยว่าลายนี้…ใช้ได้ในทุกออฟฟิศ!
ใช้ตอนทำงานก็ได้ ใช้ตอนนั่งคุยกับเพื่อนก็ดี อุ่นเบาๆ ได้ทั้งวัน
.
จับตามองให้ดี เพราะสินค้าใหม่จาก Mission To The Moon กำลังจะเปิดตัว!
📌พบกัน 7 พฤษภาคมนี้ เวลา 9:00 น.
Pre-Sale เฉพาะที่ LINE SHOPPING
.
มาแน่ พร้อมเปลี่ยนวันทำงานธรรมดาให้พิเศษกว่าที่เคย
.
#ComingSoon
#MissiontotheMoon
#missiontothemoonpodcast
3 days ago | [YT] | 30
View 0 replies
Mission To The Moon
เตรียมตัวพบกับสินค้าใหม่จาก Mission To The Moon !
4 days ago | [YT] | 80
View 8 replies
Mission To The Moon
📝12 บทเรียนเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นก้าวใหม่ในชีวิต จากคุณตัน ภาสกรนที
.
.
เส้นทางของชีวิตและธุรกิจไม่เคยราบรื่น เราทุกคนล้วนต้องเผชิญกับอุปสรรค ทางตัน หรือแม้แต่ความล้มเหลวเป็นครั้งคราว แต่สิ่งที่จะนำพาเราไปสู่ความสำเร็จ คือการไม่ยอมแพ้ต่อสิ่งเหล่านั้น และยังคงมองหาโอกาสแม้ในช่วงเวลาวิกฤต
.
คุณตัน ภาสกรนที แห่ง “อิชิตัน กรุ๊ป” เป็นตัวอย่างของผู้ที่มองเห็นโอกาสแม้ในยามวิกฤต นี่คือ 12 บทเรียนล้ำค่าที่กลั่นจากการพูดคุยใน “เพราะในทุกวิกฤต…มักมีโอกาสซ่อนอยู่เสมอ กับ ‘คุณตัน ภาสกรนที’ | Mission To The Moon EP.2394” เป็นประสบการณ์ตรงที่คุณสามารถนำไปปรับใช้กับธุรกิจและชีวิตของตัวเองได้
.
.
1. โฟกัสสิ่งเดียวให้สุด ดีกว่าทำหลายอย่างแต่ไม่เห็นผล คุณตันเคยทำหลายธุรกิจพร้อมกันแต่ไม่รวย จนมาโฟกัสโออิชิเพียงแบรนด์เดียวแล้วเปลี่ยนชีวิต
.
2. ความสำเร็จที่แท้จริง เริ่มจากการยอมรับว่าเรายังไม่รู้ คุณตันเรียนรู้จากคนรอบข้างทุกระดับ ไม่อายที่จะถาม ไม่กลัวที่จะลอง
.
3. วิกฤตคือบททดสอบความกล้าตัดสินใจ ในปี 2540 คุณตันเลือกตัดแขนขารักษาชีวิต ขายทรัพย์สินขาดทุน เพื่อลดหนี้ แทนที่จะยื้อจนล้มหมด
.
4. มองเห็นโอกาสจากพฤติกรรมผู้บริโภคจริง ชาเขียวบรรจุขวดเกิดจากการสังเกตว่าลูกค้าดื่มเยอะในร้านบุฟเฟต์ ประกอบกับการศึกษาตลาดจากประเทศญี่ปุ่นและไต้หวันที่มีชาเขียวในขวดมาก่อนแล้ว
.
5. เลือกสนามแข่งขันที่เหมาะกับเรา แล้ววิ่งให้เร็วกว่าใคร คุณตันเริ่มจากต่างจังหวัด เพราะคู่แข่งน้อย คนจำง่าย และมีโอกาสสร้างชื่อเร็ว
.
6. ถ้าไม่มีเงินทุน จงใช้ประสบการณ์เป็นต้นทุน คุณตันเรียนรู้จากการลงมือทำทุกงาน เก็บทักษะไว้เป็นคลังอาวุธในอนาคต
.
7. อย่าเพิ่งคิดว่า “ถูกใจเรา” เท่ากับ “ขายได้” คุณตันไม่ยึดติดกับสิ่งที่ตัวเองชอบ แต่ดูว่าสิ่งไหน “ลูกค้าซื้อจริง”
.
8. ข้อมูลลูกค้าที่ดีที่สุด ไม่ใช่จากแบบสอบถาม แต่จาก “การแอบฟัง” เพราะต่อหน้าลูกค้ามักตอบให้เกียรติ แต่สิ่งที่พูดลับหลัง หรือคุยกันเอง คือความจริงที่แบรนด์ควรเอาไปปรับใช้
.
9. ยกมือก่อน ได้โอกาสก่อน คุณตันอาสารับงานก่อนคนอื่น แม้ไม่รู้จะทำได้หรือไม่ แต่เมื่อได้รับโอกาสแล้วต้องทำให้ดีที่สุด ซึ่งนั่นจะทำให้คนไว้ใจ
.
10. บทเรียนสำคัญในการทำธุรกิจคือการเลือกหุ้นส่วนที่ดี หุ้นส่วนต้องมีจิตวิญญาณความเป็นเจ้าของ เข้าใจเงื่อนไขและการแบ่งผลประโยชน์ที่ชัดเจน
.
11. แม้โลกจะเปลี่ยนไป แต่หลักการพื้นฐานยังคงเดิม ความขยัน ซื่อสัตย์ และอดทนอาจไม่ทำให้รวยทันที แต่จะทำให้สำเร็จอย่างภาคภูมิใจในที่สุด
.
12. “ทุกวิกฤตผ่านได้ ไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้” ความเชื่อมั่นในตัวเองเป็นสิ่งสำคัญที่สุด อย่าดูถูกตัวเอง เชื่อว่าตัวเองทำได้ และพร้อมที่จะเรียนรู้ปรับตัวอยู่เสมอ ถ้ายังไม่สำเร็จ แสดงว่ายังพยายามไม่พอ
.
สามารถรับชม Mission To The Moon EP.2394 | เพราะในทุกวิกฤต…มักมีโอกาสซ่อนอยู่เสมอ กับ ‘คุณตัน ภาสกรนที’ ฉบับเต็มได้ที่ : bit.ly/4iBPvhB
.
.
#ธุรกิจ
#มุมมองชีวิต
#missiontothemoon
#missiontothemoonpodcast
5 days ago | [YT] | 130
View 1 reply
Load more