Mission To The Moon
ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เราอาจคุ้นเคยกับคำว่า Quiet Quitting หรือการทำงานเฉพาะหน้าที่ที่ได้รับ โดยไม่ทุ่มเทเต็มที่หรือไม่แสดงความกระตือรือร้น.แต่ล่าสุด มีผลสำรวจใหม่ที่เผยให้เห็นอีกหนึ่งพฤติกรรมที่น่าจับตาของคนทำงาน โดยเฉพาะ Gen Z นั่นคือ “Quiet Covering”..Quiet Covering คืออะไร?.“Quiet Covering” หมายถึงการที่พนักงานซ่อนตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง เพื่อลดความเสี่ยงที่จะถูกตัดสินหรือเลือกปฏิบัติ ทั้งยังทำเพื่อให้เข้ากับทีมและเพื่อให้ดูน่าโปรโมตมากขึ้น.มีการสำรวจใหม่ของ Attensi ที่ได้ทำการสำรวจพนักงาน 2,000 คนจากหลายอุตสาหกรรม พบว่า[ ] 58% ยอมรับว่าเคย Skill Masking หรือปกปิดช่องโหว่ด้านความรู้และทักษะ เพื่อไม่ให้ถูกตัดสิน[ ] เกือบครึ่ง เคย “ทำเป็นเข้าใจ” ทั้งที่ไม่เข้าใจจริง[ ] 40% หลีกเลี่ยงการขอความช่วยเหลือ แม้ไม่แน่ใจว่าจะทำงานต่อไปอย่างไร.จริงๆ แล้ว คำว่า “Covering” มาจากศาสตราจารย์ Kenji Yoshino ที่อธิบายว่าคือการซ่อนหรือเก็บงำคุณลักษณะบางอย่างของตัวเองไว้ เพื่อให้กลมกลืนกับผู้อื่น หรือลดการเผชิญกับการเหมารวม การตัดสิน และการเลือกปฏิบัติ .เช่น การที่พนักงานปกปิดเรื่องเชื้อชาติหรือชาติพันธุ์ เพศ รสนิยมทางเพศ อายุ ศาสนา ความพิการ หรือคุณลักษณะอื่นๆ เพื่อให้ได้รับการยอมรับ หลีกเลี่ยงการถูกเลิกจ้าง หรือเพิ่มโอกาสในการเลื่อนตำแหน่ง.แม้การ “ปกปิด” บางครั้งอาจเป็นการปรับตัวที่ช่วยให้ทำงานราบรื่น แต่หากทำบ่อยเกินไป ก็อาจนำไปสู่ ความเครียด การหมดไฟ และความรู้สึกขาดการเชื่อมต่อ ซึ่งสุดท้ายส่งผลเสียทั้งต่อบุคคลและต่อองค์กรได้..Gen Z เก็บซ่อนตัวตนสูง?.งานวิจัยจาก Hu-X ร่วมกับ Hi-Bob ยืนยันว่า 97% ของพนักงานเคยซ่อนหรือปกปิดตัวตนในที่ทำงานบ้าง และ 67% ทำเช่นนี้บ่อย ซึ่งมีหลายเหตุผลด้วยกัน เหตุผลหลักๆ ได้แก่[ ] เพื่อรักษาภาพลักษณ์ความเป็นมืออาชีพ (55%)[ ] เพื่อการยอมรับทางสังคม (48%)[ ] เพื่อหลีกเลี่ยงการเลือกปฏิบัติ (46%)[ ] เพื่อเพิ่มโอกาสได้เลื่อนตำแหน่ง เพิ่มเงินเดือน หรือโบนัส (46%)[ ] เพื่อเพิ่มโอกาสได้รับการประเมินผลประจำปีที่ดีกว่า (43%).ตัวอย่างการปกปิดจากผู้เข้าร่วมการสำรวจ ได้แก่ ซ่อนอัตลักษณ์ทางเพศ เพื่อเลี่ยงการถูกตัดสิน, ซ่อนภาวะสมาธิสั้น (ADD), ทัศนคติทางการเมือง และอื่นๆ.แต่ที่น่าสนใจคือ Gen Z มีแนวโน้มซ่อนตัวเองสูงกว่าเบบี้บูมเมอร์ถึง 2 เท่า และ 56% ยอมรับว่าทำเช่นนี้แม้แต่กับฝ่ายบุคคล (HR).เกือบครึ่งของ Gen Z ชี้ว่า พวกเขาปกปิดปัญหาสุขภาพจิต พฤติกรรมการดูแลตัวเอง หรือประสบการณ์ชีวิตในอดีต เพื่อสร้างภาพลักษณ์ทางอาชีพให้มีโอกาสได้เลื่อนตำแหน่งมากขึ้น.นอกจากนี้แล้ว การศึกษาจาก PR Newswire ยังพบว่า Gen Z ใช้เครื่องมือ AI เพื่อช่วยทำงานให้เร็วขึ้น เช่น สรุปการประชุม เขียนโค้ด หรือระดมไอเดีย แต่เลือกที่จะไม่บอกหัวหน้า โดยนักวิจัยคาดว่าอาจเป็นเพราะกลัวจะสูญเสียงาน.โดย 47% ของพนักงาน Gen Z และมิลเลนเนียลกังวลว่า AI อาจเข้ามาแทนที่งานของพวกเขา อีกทั้ง 30% ของพนักงานกลุ่มนี้ยังไม่คุ้นเคยกับนโยบายการใช้ AI ของบริษัท และ 63% ระบุว่าพวกเขาใช้แอปหรือซอฟต์แวร์ส่วนตัวในการทำงาน ซึ่งอาจสร้างความเสี่ยงด้านความปลอดภัยให้กับองค์กรได้..จะเห็นได้ว่าคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะ Gen Z กำลังเผชิญกับภาวะ Quiet Covering มากขึ้น ไม่ใช่แค่เรื่องงานเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับอัตลักษณ์และตัวตนในเกือบทุกมิติ .หากถามว่า Quiet Covering ส่งผลเสียอย่างไร งานวิจัยจาก Hu-X ร่วมกับ Hi-Bob ชี้ว่า มีผลกระทบหลายด้าน เช่น[ ] ทำให้เครียดระดับปานกลางถึงรุนแรง (64%)[ ] ลดประสิทธิภาพและผลิตภาพในการทำงาน (54%)[ ] ขัดขวางความก้าวหน้าในอาชีพ (40%)[ ] ลดระดับความผูกพันต่อองค์กร (56%)[ ] ส่งผลต่อชีวิตนอกเหนือจากการทำงาน (43%)[ ] จำกัดความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม (55%)[ ] ทำให้งานหรือผลการปฏิบัติงานแย่ลง (47%).ดังนั้น สิ่งนี้จึงเป็นเสียงสะท้อนสำคัญที่องค์กรควรรับฟัง เพราะผลกระทบไม่ได้เกิดกับพนักงานแต่ละคนเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อองค์กรโดยรวม .การเข้าใจและปรับสภาพแวดล้อมที่เปิดโอกาสให้พนักงานแสดงศักยภาพอย่างเต็มที่ โดยไม่ต้องซ่อนตัวตนที่แท้จริง จึงเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างองค์กรที่แข็งแรงและยั่งยืน..อ้างอิง- ‘Quiet Covering’: New Studies Show What Else The Gen Z Stare Conceals : Bryan Robinson, Ph.D., Forbes - bit.ly/3V67ovW..#trend#quietcovering#missiontothemoon#missiontothemoonpodcast
4 days ago | [YT] | 45
Mission To The Moon
ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เราอาจคุ้นเคยกับคำว่า Quiet Quitting หรือการทำงานเฉพาะหน้าที่ที่ได้รับ โดยไม่ทุ่มเทเต็มที่หรือไม่แสดงความกระตือรือร้น
.
แต่ล่าสุด มีผลสำรวจใหม่ที่เผยให้เห็นอีกหนึ่งพฤติกรรมที่น่าจับตาของคนทำงาน โดยเฉพาะ Gen Z นั่นคือ “Quiet Covering”
.
.
Quiet Covering คืออะไร?
.
“Quiet Covering” หมายถึงการที่พนักงานซ่อนตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง เพื่อลดความเสี่ยงที่จะถูกตัดสินหรือเลือกปฏิบัติ ทั้งยังทำเพื่อให้เข้ากับทีมและเพื่อให้ดูน่าโปรโมตมากขึ้น
.
มีการสำรวจใหม่ของ Attensi ที่ได้ทำการสำรวจพนักงาน 2,000 คนจากหลายอุตสาหกรรม พบว่า
[ ] 58% ยอมรับว่าเคย Skill Masking หรือปกปิดช่องโหว่ด้านความรู้และทักษะ เพื่อไม่ให้ถูกตัดสิน
[ ] เกือบครึ่ง เคย “ทำเป็นเข้าใจ” ทั้งที่ไม่เข้าใจจริง
[ ] 40% หลีกเลี่ยงการขอความช่วยเหลือ แม้ไม่แน่ใจว่าจะทำงานต่อไปอย่างไร
.
จริงๆ แล้ว คำว่า “Covering” มาจากศาสตราจารย์ Kenji Yoshino ที่อธิบายว่าคือการซ่อนหรือเก็บงำคุณลักษณะบางอย่างของตัวเองไว้ เพื่อให้กลมกลืนกับผู้อื่น หรือลดการเผชิญกับการเหมารวม การตัดสิน และการเลือกปฏิบัติ
.
เช่น การที่พนักงานปกปิดเรื่องเชื้อชาติหรือชาติพันธุ์ เพศ รสนิยมทางเพศ อายุ ศาสนา ความพิการ หรือคุณลักษณะอื่นๆ เพื่อให้ได้รับการยอมรับ หลีกเลี่ยงการถูกเลิกจ้าง หรือเพิ่มโอกาสในการเลื่อนตำแหน่ง
.
แม้การ “ปกปิด” บางครั้งอาจเป็นการปรับตัวที่ช่วยให้ทำงานราบรื่น แต่หากทำบ่อยเกินไป ก็อาจนำไปสู่ ความเครียด การหมดไฟ และความรู้สึกขาดการเชื่อมต่อ ซึ่งสุดท้ายส่งผลเสียทั้งต่อบุคคลและต่อองค์กรได้
.
.
Gen Z เก็บซ่อนตัวตนสูง?
.
งานวิจัยจาก Hu-X ร่วมกับ Hi-Bob ยืนยันว่า 97% ของพนักงานเคยซ่อนหรือปกปิดตัวตนในที่ทำงานบ้าง และ 67% ทำเช่นนี้บ่อย ซึ่งมีหลายเหตุผลด้วยกัน เหตุผลหลักๆ ได้แก่
[ ] เพื่อรักษาภาพลักษณ์ความเป็นมืออาชีพ (55%)
[ ] เพื่อการยอมรับทางสังคม (48%)
[ ] เพื่อหลีกเลี่ยงการเลือกปฏิบัติ (46%)
[ ] เพื่อเพิ่มโอกาสได้เลื่อนตำแหน่ง เพิ่มเงินเดือน หรือโบนัส (46%)
[ ] เพื่อเพิ่มโอกาสได้รับการประเมินผลประจำปีที่ดีกว่า (43%)
.
ตัวอย่างการปกปิดจากผู้เข้าร่วมการสำรวจ ได้แก่ ซ่อนอัตลักษณ์ทางเพศ เพื่อเลี่ยงการถูกตัดสิน, ซ่อนภาวะสมาธิสั้น (ADD), ทัศนคติทางการเมือง และอื่นๆ
.
แต่ที่น่าสนใจคือ Gen Z มีแนวโน้มซ่อนตัวเองสูงกว่าเบบี้บูมเมอร์ถึง 2 เท่า และ 56% ยอมรับว่าทำเช่นนี้แม้แต่กับฝ่ายบุคคล (HR)
.
เกือบครึ่งของ Gen Z ชี้ว่า พวกเขาปกปิดปัญหาสุขภาพจิต พฤติกรรมการดูแลตัวเอง หรือประสบการณ์ชีวิตในอดีต เพื่อสร้างภาพลักษณ์ทางอาชีพให้มีโอกาสได้เลื่อนตำแหน่งมากขึ้น
.
นอกจากนี้แล้ว การศึกษาจาก PR Newswire ยังพบว่า Gen Z ใช้เครื่องมือ AI เพื่อช่วยทำงานให้เร็วขึ้น เช่น สรุปการประชุม เขียนโค้ด หรือระดมไอเดีย แต่เลือกที่จะไม่บอกหัวหน้า โดยนักวิจัยคาดว่าอาจเป็นเพราะกลัวจะสูญเสียงาน
.
โดย 47% ของพนักงาน Gen Z และมิลเลนเนียลกังวลว่า AI อาจเข้ามาแทนที่งานของพวกเขา อีกทั้ง 30% ของพนักงานกลุ่มนี้ยังไม่คุ้นเคยกับนโยบายการใช้ AI ของบริษัท และ 63% ระบุว่าพวกเขาใช้แอปหรือซอฟต์แวร์ส่วนตัวในการทำงาน ซึ่งอาจสร้างความเสี่ยงด้านความปลอดภัยให้กับองค์กรได้
.
.
จะเห็นได้ว่าคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะ Gen Z กำลังเผชิญกับภาวะ Quiet Covering มากขึ้น ไม่ใช่แค่เรื่องงานเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับอัตลักษณ์และตัวตนในเกือบทุกมิติ
.
หากถามว่า Quiet Covering ส่งผลเสียอย่างไร งานวิจัยจาก Hu-X ร่วมกับ Hi-Bob ชี้ว่า มีผลกระทบหลายด้าน เช่น
[ ] ทำให้เครียดระดับปานกลางถึงรุนแรง (64%)
[ ] ลดประสิทธิภาพและผลิตภาพในการทำงาน (54%)
[ ] ขัดขวางความก้าวหน้าในอาชีพ (40%)
[ ] ลดระดับความผูกพันต่อองค์กร (56%)
[ ] ส่งผลต่อชีวิตนอกเหนือจากการทำงาน (43%)
[ ] จำกัดความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม (55%)
[ ] ทำให้งานหรือผลการปฏิบัติงานแย่ลง (47%)
.
ดังนั้น สิ่งนี้จึงเป็นเสียงสะท้อนสำคัญที่องค์กรควรรับฟัง เพราะผลกระทบไม่ได้เกิดกับพนักงานแต่ละคนเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อองค์กรโดยรวม
.
การเข้าใจและปรับสภาพแวดล้อมที่เปิดโอกาสให้พนักงานแสดงศักยภาพอย่างเต็มที่ โดยไม่ต้องซ่อนตัวตนที่แท้จริง จึงเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างองค์กรที่แข็งแรงและยั่งยืน
.
.
อ้างอิง
- ‘Quiet Covering’: New Studies Show What Else The Gen Z Stare Conceals : Bryan Robinson, Ph.D., Forbes - bit.ly/3V67ovW
.
.
#trend
#quietcovering
#missiontothemoon
#missiontothemoonpodcast
4 days ago | [YT] | 45