BorntoDev

Mr. DevOps กดปุ่มเดียว เขียวทั้งแถบ 💚
.
✨ มาต่อกันที่ “บันทึกโปรเจกต์ลับ EP.5” มาทำความรู้จักกับคนที่ชี้ชะตาว่าจะ “กดปุ่มเดียว เขียวทั้งแถบ” หรือพังทั้ง Pipeline กันแน่
.
ใช่แล้ว คน ๆ นั้นก็คือ DevOps ผู้ที่ทำให้โค้ดจากทีมพัฒนาได้ถูกปล่อยอย่าง “ไหลลื่นและปลอดภัย” พร้อมลดการทำงานแบบ Manual + ลดความเสี่ยงระบบพังหลังจาก Deploy
.
😵 ปัญหาที่ทีมมักเจอ หากไม่มี DevOps ดูแล ก็มีตั้งแต่
- ปล่อยฟีเจอร์ใหม่หรือปรับปรุงได้ช้า แถมยังต้องลุ้นทุกครั้งที่ Deploy
>> เพราะไม่มี Git workflow เพื่อจัดการโค้ดอย่างเป็นระบบ และยังต้อง Build/Test กันแบบ Manual
>> ทำให้ Lead Time (ระยะเวลาตั้งแต่เขียนเสร็จจนกระทั่งขึ้นจริง) ยาวขึ้น และปล่อยของได้น้อยครั้ง
.
- ปัญหา “It works on my machine” สภาพแวดล้อมไม่เหมือนกัน ส่งผลลัพธ์ที่ต่างกัน
>> เพราะไม่ได้บรรจุแอปเป็นแพ็ก (Containerize) เอาไว้ และกระจายไฟล์ตั้งค่า/รหัสลับ (Config/Secret) หลายที่เกินไป
>> ทำให้ทำซ้ำ/จำลองปัญหาเดิม (Reproduce) ไม่ได้ และใช้เวลาเฉลี่ยในการกู้ระบบ (Mean Time To Recovery: MTTR) สูงขึ้น
.
- Pipeline สำหรับ Build, Test, Deploy มีความเปราะบาง แก้คืนได้ยาก
>> เพราะเขียนสคริปต์เฉพาะกิจหลายครั้ง/เก็บไว้คนละที่ (Scattered Scripts) ไม่ได้แบ่ง Stage/Gate เพื่อตรวจสอบคุณภาพระหว่างทาง รวมถึงขาดแผน Rollout/Rollback
>> ทำให้ต้องใช้ความระมัดระวังในการปล่อย/แก้ไขโค้ด เพราะเสี่ยง Downtime ส่งผลกระทบต่อเป็นลูกโซ่ ทำให้ลูกค้าไม่พอใจ หรือบริษัทขาดรายได้
.
💡 ทางแก้ที่พิสูจน์แล้วว่าได้ผล
1) ตั้ง Git Workflow + ทำ CI/CD อัตโนมัติ
- จัดการโค้ดด้วยเครื่องมืออย่าง GitHub Flow พร้อม PR Review และ Branch Protection เพื่อให้มีการตรวจทุกครั้งก่อนรวมโค้ด
- ใช้กระบวนการ CI/CD เพื่อ “ตรวจและปล่อยอัตโนมัติ” เมื่อมี commit ใหม่ ด้วย GitHub Actions รัน Lint/Test/ตรวจความปลอดภัยให้อัตโนมัติ
>> ทำให้โค้ดคุณภาพดีขึ้น ปล่อยได้ถี่ขึ้น ใช้ Lead Time ลดลง
.
2) ทำ Containerization + Environment Parity
- ใช้ Docker เพื่อบรรจุแอปพร้อมสิ่งจำเป็นต่อการรัน (Dependencies) และสามารถนำ Container ดังกล่าวไปรันได้เหมือนกันทุก Environment
- จัดเก็บ Config/Secret แบบรวมศูนย์ และแยก Staging/Production บน Kubernetes ให้ Container และ Environment มีความใกล้เคียงกัน
>> สามารถ Reproduce บั๊กหรือปัญหาได้จริง ส่งผลให้แก้ไขเร็วขึ้น และอัตรา MTTR ลดลง
.
3) ออกแบบ Pipeline ให้อุ่นใจทุกครั้งที่ปล่อยฟีเจอร์ใหม่
- ใส่ Quality Gate เช่น SonarQube เพื่อตรวจคุณภาพระหว่างเส้นทาง Pipeline พร้อมเก็บไฟล์ที่ผ่านการตรวจสอบแล้วใน Artifact Registry
- ใช้เทคนิค Canary Release เพื่อปล่อยให้ผู้ใช้ส่วนน้อยได้ทดสอบก่อน หรือ Blue-Green Deployment ที่เป็นระบบจริงทั้งคู่ แต่สามารถสลับไปมาเพื่อย้ายทราฟฟิกได้ กรณีที่ฝั่งใดฝั่งหนึ่งมีปัญหา พร้อมทำปุ่มฉุกเฉินอย่าง 1-Click Rollback ให้ย้อนกลับทันทีหากเกิดปัญหา
- รวบรวมข้อมูลการทำงาน (Log) และตัวชี้วัดประสิทธิภาพ (Metric) มาไว้ที่ส่วนกลาง เพื่อให้ทีมงานสามารถ ""เฝ้าระวัง"" ดูความผิดปกติได้แบบเรียลไทม์
>> ช่วยลดอัตราล้มเหลวเมื่อมีการเปลี่ยนแปลง (Change Failure Rate) และระยะเวลา Downtime จากการให้บริการไม่ได้
.
🚀 อัปสกิล DevOps ให้ทีมของเราปล่อยฟีเจอร์ได้ไม่อั้น ด้วยหลักสูตรแนะนำจาก borntoDev แบบจัดเต็ม
✅ Efficient Development with GitHub & GitHub Actions (1 วัน) ตั้ง GitHub Flow/PR/Branch Protection และทำ CI ที่รัน Lint/Test/SAST/Secrets อัตโนมัติ
✅ Docker & Kubernetes Masterclass (1 วัน) Dockerize อย่างถูกต้อง, Image hygiene, ใช้งาน Pod/Deployment/Service/Ingress/Helm เพื่อทำ Environment Parity
✅ CI/CD Pipeline with Jenkins (1 วัน) สร้าง Multibranch Pipeline, Shared Library, Quality Gate, Artifact Registry, Canary/Blue-Green และ 1-Click Rollback
.
📣 สรุป DevOps มือทองของ borntoDev บอกว่า “ระบบดีเพราะ Pipeline ออกแบบถูกต้อง ไม่ว่าจะกี่ฟีเจอร์ก็ปล่อยได้บ่อยและเสถียร” – สนใจให้ทีมทำ DevOps ได้ไหลลื่นยิ่งขึ้น ดูรายละเอียดได้ที่ bornto.dev/bd-training
.
🦖 #borntoDev - พร้อมเปลี่ยนคนทำงาน ให้ก้าวสู่การเป็น Dev / Tech Expert

1 month ago | [YT] | 49