Mission To The Moon
ผู้เชี่ยวชาญเผย Rawdogging Boredom หรือหลบมุมไป ‘นั่งโง่ๆ’ ของ Gen Z มีประโยชน์กับสมาธิมากกว่าที่คิด.เมื่อชีวิตเจอกับความรับผิดชอบและสิ่งที่ต้องทำมากมาย ยังไม่นับรวมความคิดสะระตะที่เราเก็บมาไว้ในหัว หลายคนมักจะเกิดความรู้สึกว่าอยากทิ้งทุกอย่างแล้วไป ‘นั่งโง่ๆ’ ที่ไหนก็ได้สักวันสองวัน .โดยเฉพาะกับ Gen Z ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่เติบโตมาในโลกที่ผันผวน เจอกับการเปลี่ยนแปลงในเรื่องต่างๆ มาตลอดทุกช่วงชีวิต เช่น การแข่งขันที่ดุเดือดขึ้นในระบบการศึกษา ความไม่มั่นคงในตลาดแรงงาน ความถดถอยของระบบเศรษฐกิจ รวมไปถึงความเข้มข้นของโซเชียลมีเดียอยู่กับเราแทบตลอด 24 ชั่วโมงจะสมองไม่เคยได้หยุดพักเลยสักครั้ง.อย่างไรก็ดี ความน่าเป็นห่วงจากสถานการณ์ปัจจุบันที่ช่วงสมาธิ (Attention Span) ของผู้คนสั้นลงจนเหลือค่าเฉลี่ยเพียงแค่ 47 วินาทีในปัจจุบัน การเกิดขึ้นของเทรนด์ Rawdogging กลับทำให้ผู้เชี่ยวชาญเล็งเห็นถึงโอกาสที่ดี.และผู้เชี่ยวชาญยังหวังอีกด้วยว่าเทรนด์ใหม่ของเหล่า Gen Z ที่อยากปลีกวิเวกจากความวุ่นวายของโลกรอบตัวในยุคนี้จะฟื้นฟูช่วงสมาธิ (Attention Span) และทำให้ผู้คนได้กลับมามีเวลาเชื่อมต่อกับตัวเองอย่างมีประสิทธิภาพได้อีกครั้ง..‘Rawdog’ จากคำสแลงสุดฮิต สู่แว่นสะท้อนสังคมในบริบทปัจจุบัน.คำว่า “Rawdog” เป็นคำสแลงภาษาอังกฤษสุดฮิตที่ว่ากันว่าอาจจะถูกรับเลือกให้เป็น ‘คำแห่งปี’ ของ Oxford ในปี 2024 ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม แม้จะไม่ได้ถูกยกให้เป็นคำแห่งปี 2024 แต่ความหมายของ Rawdog ก็ผ่านการพัฒนาและถูกนำไปใช้ในบริบทที่แตกต่างอย่างแพร่หลาย.แต่เดิม ความหมายของคำแสลงอย่าง Rawdog หมายถึง “การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย” ในเวลาต่อมา นัยเชิงลบและโทนเสียงที่หยาบคายของคำว่า Rawdog ลดลง (Semantic Bleaching) และได้ถูกนำไปใช้ในสถานการณ์อื่นๆ ที่สื่อถึง ‘การทำสิ่งใดก็ตามที่ไม่ได้เตรียมตัว เตรียมพร้อม หรือป้องกัน’ นอกจากนี้ยังหมายถึง ‘สิ่งที่เบี่ยงเบนความสนใจ’ และ ‘การไม่ได้รับความช่วยเหลือ’ ได้ด้วย.ยกตัวอย่างเช่น การดื่มกาแฟดำอาจกล่าวได้ว่า “You’re rawdogging caffeine!” การงดดื่มกาแฟในช่วงเช้าไปเลยอาจกล่าวได้ว่า “You’re rawdogging your mornings.” หรือการเดินทางท่องเที่ยวโดยไม่มีแพลน หรือเดินทางโดยไม่เพิ่งพา Google Map เราอาจกล่าวได้ว่า “Bro, you rawdogged travel!”.แล้ว ‘Rawdogging Boredom’ ของ Gen Z หมายถึงอะไร?.คำว่า ‘Rawdogging Boredom’ หมายถึง การตั้งใจปลีกตัวจากทุกสิ่ง เพื่อเผชิญหน้ากับความเบื่อโดยตรง โดยกฎปฏิบัติของ Rawdogging Boredom แทบจะไม่มีความซับซ้อนใด ๆ เลย เพราะมีกฎเหล็กเพียงข้อเดียวคือ “ห้ามมีสิ่งกระตุ้นใดๆ อยู่ใกล้ตัว”.นั่นหมายความว่า เมื่อเราตัดสินใจที่จะหลบหนีจากความวุ่นวายไป Rawdogging Boredom สัก 10 นาที เราจะต้องนั่งเงียบๆ โดยปราศจากโทรศัพท์มือถือ เสียงเพลง หนังสือ หรือแม้แต่ขนมและเครื่องดื่ม กิจกรรมนี้คือการอนุญาตให้ตัวเองได้รู้สึกถึงความว่างเปล่า ความอึดอัด และฟังเสียงในหัวของตัวเองได้อย่างเต็มที่เป็นเวลาสั้นๆ.คงเหมือนกับวลี “อยากไปนั่งโง่ๆ ที่ริมทะเล” ของคนไทย ซึ่งมักถูกนำมาใช้ในช่วงที่ชีวิตวุ่นวาย เช่น ช่วงสอบของเด็กมหาวิทยาลัย ช่วงโปรเจกต์ของคนทำงาน หรือช่วงอกหักที่ทำให้เราเครียด สับสน จนไม่อยากทำอะไร คิดอะไร หรือไม่เอาอะไรแล้ว.ทั้งนี้ แม้ว่าความน่าเบื่อจะเป็นความรู้สึกที่น่ากลัวสำหรับคนยุคใหม่ โดยเฉพาะกับเหล่า Gen Z ที่ตัวติดกับมือถือ และโซเชียลมีเดียเกือบตลอด 24 ชั่วโมง แต่ถึงอย่างนั้นก็มี Gen Z จำนวนไม่น้อยที่ได้ลองเทรนด์ ‘Rawdogging Boredom’ แล้วพบว่า.ชีวิตที่น่าเบื่อ ไม่ต้องรับรู้อะไร ไม่ต้องคิดและไม่ต้องทำอะไรเพียงแค่ 10-15 นาทีจำเป็นกับพวกเขามากกว่าที่คิด..ผู้เชี่ยวชาญเผย แค่ ‘นั่งโง่ๆ’ (Rawdogging Boredom) สัก 15 นาทีต่อวันก็เพิ่มสมาธิได้!.เทรนด์นี้เกิดขึ้นท่ามกลางความวุ่นวายในทุกมิติชีวิตของ Gen Z ที่ยอมรับว่าทุกวันนี้เราต่างมีสมาธิสั้นลงเรื่อยๆ และกำลังขาดช่วงของการจดจ่อ (Attention Span) อย่างหนัก เนื่องจากการถูกกระตุ้นด้วยคอนเทนต์ที่รวดเร็วอย่างต่อเนื่อง.Gloria Mark นักจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เออร์ไวน์ ชี้ว่า “ในปี 2004 เราพบว่าช่วงความสนใจ (Attention Span) เฉลี่ยบนหน้าจอใด ๆ อยู่ที่สองนาทีครึ่ง แต่ราวปี 2012 มันลดลงเหลือ 75 วินาที และในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาอยู่ที่ประมาณ 47 วินาที โดยค่ามัธยฐานอยู่ที่เพียง 40 วินาทีเท่านั้น”.ตัวเลขที่ลดลงอย่างน่าตกใจนี้ไม่ได้เป็นแค่สถิติ แต่เป็นภาพสะท้อนของสังคมดิจิทัลที่ทำให้เราถูกกระตุ้นอยู่ตลอดเวลา ซึ่งกำลังส่งสัญญาณบอกเราว่าสมองของเราถูกฝึกให้เสพติดการเปลี่ยนความสนใจไปหาเรื่องใหม่อย่างรวดเร็วทุกๆ 47 วินาที.ซึ่งสภาพเช่นนี้ทำให้สมองแทบไม่มีโอกาสได้ดำดิ่งสู่สมาธิหรือ Deep Focus เพื่อประมวลผลข้อมูลที่ซับซ้อนได้เลย อีกทั้งยังนำไปสู่สภาวะเหนื่อยล้าทางความคิด (Cognitive Fatigue) และทำให้ความสามารถในการอดทนอยู่กับความว่างเปล่าหรือ ‘ความเบื่อ’ (Boredom) ลดลงอย่างมาในยุคนี้.เมื่อสมองไม่เคยต้องอดทนกับความเบื่อ หรือความรู้สึกว่างเปล่าที่ไร้ซึ่งสิ่งกระตุ้น ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เราอดทนกับความเบื่อไม่ได้ ต้องคอยไถหน้าจอเพื่อลดความเบื่อ แต่ยิ่งไถสมองก็ยิ่งเคยชินกับการถูกกระตุ้น ยิ่งถูกกระตุ้นก็ยิ่งทำกับความเบื่อไม่ได้ไปเรื่อยๆ จึงกลายเป็น ‘วิกฤตสมาธิ’ ที่คนมักจะโฟกัสอะไรได้ไม่นานอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน.จุดนี้เองที่ทำให้ผู้เชี่ยวชาญมองว่าเทรนด์ ‘Rawdogging Boredom’ ของ Gen Z มีข้อดีมากกว่าที่ใครคิด.การนั่งโง่ๆ โดยไร้สิ่งกระตุ้น ไร้คอนเทนต์ที่รวดเร็วมาบีบรัดให้เราต้องรับรู้อยู่เรื่อยนั้นเป็นมากกว่าการพักผ่อน แต่ยังเป็น ‘การรีเซตวงจรของสมอง’ และเป็นการฝึกฝนที่จำเป็นเพื่อทวงคืนความสามารถในการจดจ่อที่หายไป.เพราะมันคือการที่เราบังคับให้สมองกลับมาเรียนรู้วิธีอยู่กับตัวเองอย่างสงบ เพื่อให้มันสามารถสร้างสมาธิที่ต่อเนื่องยาวนานขึ้นได้อีกครั้งอย่างเป็นธรรมชาติ.อย่างที่ Michael Dzwil นักสังคมสงเคราะห์คลินิกที่ได้รับใบอนุญาต กล่าวว่า “ในวัฒนธรรมที่ยกย่องการทำกิจกรรมอย่างต่อเนื่องและเกิดการกระตุ้นทางดิจิทัลอยู่ตลอดเวลา การตั้งใจใช้เวลาชั่วขณะเพื่อไม่ทำอะไรเลย จึงเป็นการฟื้นฟูอย่างล้ำลึก เพราะช่วงเวลาที่เงียบสงบเปิดโอกาสให้สมองได้รีเซต ลดความเครียด และควบคุมระบบประสาท”.Dzwil ยังเสริมอีกว่า Rawdogging Boredom สำคัญมากสำหรับคนหนุ่มสาว เพราะช่วงเวลาสั้นๆ ของความสงบนิ่งเหล่านี้สามารถช่วยให้เราเชื่อมต่อกับความคิดและอารมณ์ของตัวเองอีกครั้ง อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มความคิดสร้างสรรค์และเพื่อระยะเวลาของการจดจ่อ (Attention Span) ให้กับเราได้อย่างมีประสิทธิภาพ.นอกจากนี้ Dzwil ยังกล่าวอีกว่า การนั่งเฉยๆ ไม่ทำอะไรหรือไม่คิดอะไรจะไม่ใช่การปฏิเสธความตั้งใจหรือเป้าหมายของตัวเอง แต่เป็นการสร้างความคุ้นเคยกับการอยู่เฉยๆ แม้เพียงไม่กี่นาทีต่อวันโดยไม่มีโทรศัพท์หรือสิ่งรบกวน และเทรนด์นี้ก็สามารถสร้างภูมิต้านทานต่อภาวะถูกกระตุ้นมากเกินไปและภาวะหมดไฟได้ด้วยเช่นกัน.แล้วเราจะเริ่ม ‘Rawdogging Boredom’ ได้อย่างไร?.หากคุณรู้สึกว่าชีวิตถึงจุดที่อยากตะโกนว่า “อยากหลบไปนั่งโง่ๆ ที่ไหนสักที่” นี่อาจเป็นสัญญาณที่ดีที่สุดว่าคุณควรเริ่ม Rawdogging Boredom ทันที ซึ่งไม่จำเป็นต้องสละเวลาเพื่อหลบเข้าป่า หรือนั่งรถไปไกลถึงทะเล แต่สามารถทำได้ง่ายๆ ด้วยวิธีต่อไปนี้.[ ] กำหนดเวลา โดยเริ่มต้นจาก 10-15 นาทีตามความถนัด และตั้งใจว่านี่คือช่วงเวลาที่เราจะ ‘Rawdog’ หรืออยู่กับความเบื่อโดยเฉพาะ.[ ] กำจัดสิ่งกระตุ้น เช่น วางโทรศัพท์มือถือไว้ให้ไกลจากมือ ปิดการแจ้งเตือนทั้งหมด ห้ามเปิดเพลง หรือหยิบหนังสือขึ้นมาอ่าน และจำเอาไว้เสมอว่ากฎเหล็กของ Rawdogging Boredom คือห้ามมีสิ่งเร้าใดๆ อยู่เลย.[ ] แค่นั่งและอยู่กับความเงียบ โดยหาที่นั่งสบายๆ และปล่อยให้ความคิดไหลไปอย่างเป็นธรรมชาติ .ในช่วงแรกเราอาจรู้สึกอึดอัด ฟุ้งซ่าน หรือกระสับกระส่าย ซึ่งนี่คือปฏิกิริยาปกติของสมองที่เสพติดการถูกกระตุ้น แต่หน้าที่ของเราคือยอมรับ และอยู่กับความรู้สึกเหล่านั้นโดยไม่ต้องตัดสินหรือตอบสนอง.เมื่อคุณผ่านช่วงความอึดอัดไปได้ สมองจะเริ่มเข้าสู่โหมดผ่อนคลายโดยธรรมชาติ ซึ่งเป็นช่วงที่ความคิดสร้างสรรค์ และการประมวลผลข้อมูลที่ซับซ้อนจะกลับมาทำงานได้ดีขึ้น เพราะวิธีเหล่านี้เป็นการบังคับให้สมองได้พักหายใจ ในยุคที่มันถูกใช้งานหนักเกินไปจนเกือบจะหมดไฟ..ท้ายที่สุดแล้วไม่ว่า Rawdogging Boredom จะเป็นแค่ปรากฏการณ์ทางวัฒนธรรม หรือเทรนด์ที่เกิดขึ้นเพียงชั่วคราวในกลุ่ม Gen Z หรือไม่ อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญต่างเห็นตรงกันว่านี่เป็นกลยุทธ์ที่ดีที่จะต่อต้านกับ ‘ยุควิกฤตของสมาธิ’ อย่างทุกวันนี้.การนั่งอยู่เฉยๆ โดยไร้สิ่งกระตุ้นเพียง 10-15 นาทีต่อวัน จึงเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุด เพราะมันคือการที่เรากล้าที่จะ ‘Rawdog’ หรืออยู่กับความเบื่อหน่ายที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันให้ได้ และเปิดโอกาสให้ความคิดที่แท้จริงของเราเองได้ปรากฏออกมาอีกครั้ง.ถึงเวลาแล้วหรือยังที่เราจะยินยอมและโอบรับความรู้สึกว่างเปล่า หรือความเบื่อหน่ายของเรา เพื่อแลกกับสมาธิที่มั่นคงและจิตใจที่แข็งแรงขึ้น?..อ้างอิง- Why Gen Z Are Putting Themselves in Time Out—Aka ‘Rawdogging Boredom’: Alice Gibbs, NEWSWEEK - bit.ly/3JqImp5- How did ‘rawdogging’ become part of polite conversation?: Arwa Mahdawi, The Guardian - bit.ly/497tAhn..rawdoggingboredomtrendmissiontothemoonmissiontothemoonpodcast
5 days ago | [YT] | 59
Mission To The Moon
ผู้เชี่ยวชาญเผย Rawdogging Boredom หรือหลบมุมไป ‘นั่งโง่ๆ’ ของ Gen Z มีประโยชน์กับสมาธิมากกว่าที่คิด
.
เมื่อชีวิตเจอกับความรับผิดชอบและสิ่งที่ต้องทำมากมาย ยังไม่นับรวมความคิดสะระตะที่เราเก็บมาไว้ในหัว หลายคนมักจะเกิดความรู้สึกว่าอยากทิ้งทุกอย่างแล้วไป ‘นั่งโง่ๆ’ ที่ไหนก็ได้สักวันสองวัน
.
โดยเฉพาะกับ Gen Z ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่เติบโตมาในโลกที่ผันผวน เจอกับการเปลี่ยนแปลงในเรื่องต่างๆ มาตลอดทุกช่วงชีวิต เช่น การแข่งขันที่ดุเดือดขึ้นในระบบการศึกษา ความไม่มั่นคงในตลาดแรงงาน ความถดถอยของระบบเศรษฐกิจ รวมไปถึงความเข้มข้นของโซเชียลมีเดียอยู่กับเราแทบตลอด 24 ชั่วโมงจะสมองไม่เคยได้หยุดพักเลยสักครั้ง
.
อย่างไรก็ดี ความน่าเป็นห่วงจากสถานการณ์ปัจจุบันที่ช่วงสมาธิ (Attention Span) ของผู้คนสั้นลงจนเหลือค่าเฉลี่ยเพียงแค่ 47 วินาทีในปัจจุบัน การเกิดขึ้นของเทรนด์ Rawdogging กลับทำให้ผู้เชี่ยวชาญเล็งเห็นถึงโอกาสที่ดี
.
และผู้เชี่ยวชาญยังหวังอีกด้วยว่าเทรนด์ใหม่ของเหล่า Gen Z ที่อยากปลีกวิเวกจากความวุ่นวายของโลกรอบตัวในยุคนี้จะฟื้นฟูช่วงสมาธิ (Attention Span) และทำให้ผู้คนได้กลับมามีเวลาเชื่อมต่อกับตัวเองอย่างมีประสิทธิภาพได้อีกครั้ง
.
.
‘Rawdog’ จากคำสแลงสุดฮิต สู่แว่นสะท้อนสังคมในบริบทปัจจุบัน
.
คำว่า “Rawdog” เป็นคำสแลงภาษาอังกฤษสุดฮิตที่ว่ากันว่าอาจจะถูกรับเลือกให้เป็น ‘คำแห่งปี’ ของ Oxford ในปี 2024 ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม แม้จะไม่ได้ถูกยกให้เป็นคำแห่งปี 2024 แต่ความหมายของ Rawdog ก็ผ่านการพัฒนาและถูกนำไปใช้ในบริบทที่แตกต่างอย่างแพร่หลาย
.
แต่เดิม ความหมายของคำแสลงอย่าง Rawdog หมายถึง “การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย” ในเวลาต่อมา นัยเชิงลบและโทนเสียงที่หยาบคายของคำว่า Rawdog ลดลง (Semantic Bleaching) และได้ถูกนำไปใช้ในสถานการณ์อื่นๆ ที่สื่อถึง ‘การทำสิ่งใดก็ตามที่ไม่ได้เตรียมตัว เตรียมพร้อม หรือป้องกัน’ นอกจากนี้ยังหมายถึง ‘สิ่งที่เบี่ยงเบนความสนใจ’ และ ‘การไม่ได้รับความช่วยเหลือ’ ได้ด้วย
.
ยกตัวอย่างเช่น การดื่มกาแฟดำอาจกล่าวได้ว่า “You’re rawdogging caffeine!” การงดดื่มกาแฟในช่วงเช้าไปเลยอาจกล่าวได้ว่า “You’re rawdogging your mornings.” หรือการเดินทางท่องเที่ยวโดยไม่มีแพลน หรือเดินทางโดยไม่เพิ่งพา Google Map เราอาจกล่าวได้ว่า “Bro, you rawdogged travel!”
.
แล้ว ‘Rawdogging Boredom’ ของ Gen Z หมายถึงอะไร?
.
คำว่า ‘Rawdogging Boredom’ หมายถึง การตั้งใจปลีกตัวจากทุกสิ่ง เพื่อเผชิญหน้ากับความเบื่อโดยตรง โดยกฎปฏิบัติของ Rawdogging Boredom แทบจะไม่มีความซับซ้อนใด ๆ เลย เพราะมีกฎเหล็กเพียงข้อเดียวคือ “ห้ามมีสิ่งกระตุ้นใดๆ อยู่ใกล้ตัว”
.
นั่นหมายความว่า เมื่อเราตัดสินใจที่จะหลบหนีจากความวุ่นวายไป Rawdogging Boredom สัก 10 นาที เราจะต้องนั่งเงียบๆ โดยปราศจากโทรศัพท์มือถือ เสียงเพลง หนังสือ หรือแม้แต่ขนมและเครื่องดื่ม กิจกรรมนี้คือการอนุญาตให้ตัวเองได้รู้สึกถึงความว่างเปล่า ความอึดอัด และฟังเสียงในหัวของตัวเองได้อย่างเต็มที่เป็นเวลาสั้นๆ
.
คงเหมือนกับวลี “อยากไปนั่งโง่ๆ ที่ริมทะเล” ของคนไทย ซึ่งมักถูกนำมาใช้ในช่วงที่ชีวิตวุ่นวาย เช่น ช่วงสอบของเด็กมหาวิทยาลัย ช่วงโปรเจกต์ของคนทำงาน หรือช่วงอกหักที่ทำให้เราเครียด สับสน จนไม่อยากทำอะไร คิดอะไร หรือไม่เอาอะไรแล้ว
.
ทั้งนี้ แม้ว่าความน่าเบื่อจะเป็นความรู้สึกที่น่ากลัวสำหรับคนยุคใหม่ โดยเฉพาะกับเหล่า Gen Z ที่ตัวติดกับมือถือ และโซเชียลมีเดียเกือบตลอด 24 ชั่วโมง แต่ถึงอย่างนั้นก็มี Gen Z จำนวนไม่น้อยที่ได้ลองเทรนด์ ‘Rawdogging Boredom’ แล้วพบว่า
.
ชีวิตที่น่าเบื่อ ไม่ต้องรับรู้อะไร ไม่ต้องคิดและไม่ต้องทำอะไรเพียงแค่ 10-15 นาทีจำเป็นกับพวกเขามากกว่าที่คิด
.
.
ผู้เชี่ยวชาญเผย แค่ ‘นั่งโง่ๆ’ (Rawdogging Boredom) สัก 15 นาทีต่อวันก็เพิ่มสมาธิได้!
.
เทรนด์นี้เกิดขึ้นท่ามกลางความวุ่นวายในทุกมิติชีวิตของ Gen Z ที่ยอมรับว่าทุกวันนี้เราต่างมีสมาธิสั้นลงเรื่อยๆ และกำลังขาดช่วงของการจดจ่อ (Attention Span) อย่างหนัก เนื่องจากการถูกกระตุ้นด้วยคอนเทนต์ที่รวดเร็วอย่างต่อเนื่อง
.
Gloria Mark นักจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เออร์ไวน์ ชี้ว่า “ในปี 2004 เราพบว่าช่วงความสนใจ (Attention Span) เฉลี่ยบนหน้าจอใด ๆ อยู่ที่สองนาทีครึ่ง แต่ราวปี 2012 มันลดลงเหลือ 75 วินาที และในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาอยู่ที่ประมาณ 47 วินาที โดยค่ามัธยฐานอยู่ที่เพียง 40 วินาทีเท่านั้น”
.
ตัวเลขที่ลดลงอย่างน่าตกใจนี้ไม่ได้เป็นแค่สถิติ แต่เป็นภาพสะท้อนของสังคมดิจิทัลที่ทำให้เราถูกกระตุ้นอยู่ตลอดเวลา ซึ่งกำลังส่งสัญญาณบอกเราว่าสมองของเราถูกฝึกให้เสพติดการเปลี่ยนความสนใจไปหาเรื่องใหม่อย่างรวดเร็วทุกๆ 47 วินาที
.
ซึ่งสภาพเช่นนี้ทำให้สมองแทบไม่มีโอกาสได้ดำดิ่งสู่สมาธิหรือ Deep Focus เพื่อประมวลผลข้อมูลที่ซับซ้อนได้เลย อีกทั้งยังนำไปสู่สภาวะเหนื่อยล้าทางความคิด (Cognitive Fatigue) และทำให้ความสามารถในการอดทนอยู่กับความว่างเปล่าหรือ ‘ความเบื่อ’ (Boredom) ลดลงอย่างมาในยุคนี้
.
เมื่อสมองไม่เคยต้องอดทนกับความเบื่อ หรือความรู้สึกว่างเปล่าที่ไร้ซึ่งสิ่งกระตุ้น ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เราอดทนกับความเบื่อไม่ได้ ต้องคอยไถหน้าจอเพื่อลดความเบื่อ แต่ยิ่งไถสมองก็ยิ่งเคยชินกับการถูกกระตุ้น ยิ่งถูกกระตุ้นก็ยิ่งทำกับความเบื่อไม่ได้ไปเรื่อยๆ จึงกลายเป็น ‘วิกฤตสมาธิ’ ที่คนมักจะโฟกัสอะไรได้ไม่นานอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
.
จุดนี้เองที่ทำให้ผู้เชี่ยวชาญมองว่าเทรนด์ ‘Rawdogging Boredom’ ของ Gen Z มีข้อดีมากกว่าที่ใครคิด
.
การนั่งโง่ๆ โดยไร้สิ่งกระตุ้น ไร้คอนเทนต์ที่รวดเร็วมาบีบรัดให้เราต้องรับรู้อยู่เรื่อยนั้นเป็นมากกว่าการพักผ่อน แต่ยังเป็น ‘การรีเซตวงจรของสมอง’ และเป็นการฝึกฝนที่จำเป็นเพื่อทวงคืนความสามารถในการจดจ่อที่หายไป
.
เพราะมันคือการที่เราบังคับให้สมองกลับมาเรียนรู้วิธีอยู่กับตัวเองอย่างสงบ เพื่อให้มันสามารถสร้างสมาธิที่ต่อเนื่องยาวนานขึ้นได้อีกครั้งอย่างเป็นธรรมชาติ
.
อย่างที่ Michael Dzwil นักสังคมสงเคราะห์คลินิกที่ได้รับใบอนุญาต กล่าวว่า “ในวัฒนธรรมที่ยกย่องการทำกิจกรรมอย่างต่อเนื่องและเกิดการกระตุ้นทางดิจิทัลอยู่ตลอดเวลา การตั้งใจใช้เวลาชั่วขณะเพื่อไม่ทำอะไรเลย จึงเป็นการฟื้นฟูอย่างล้ำลึก เพราะช่วงเวลาที่เงียบสงบเปิดโอกาสให้สมองได้รีเซต ลดความเครียด และควบคุมระบบประสาท”
.
Dzwil ยังเสริมอีกว่า Rawdogging Boredom สำคัญมากสำหรับคนหนุ่มสาว เพราะช่วงเวลาสั้นๆ ของความสงบนิ่งเหล่านี้สามารถช่วยให้เราเชื่อมต่อกับความคิดและอารมณ์ของตัวเองอีกครั้ง อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มความคิดสร้างสรรค์และเพื่อระยะเวลาของการจดจ่อ (Attention Span) ให้กับเราได้อย่างมีประสิทธิภาพ
.
นอกจากนี้ Dzwil ยังกล่าวอีกว่า การนั่งเฉยๆ ไม่ทำอะไรหรือไม่คิดอะไรจะไม่ใช่การปฏิเสธความตั้งใจหรือเป้าหมายของตัวเอง แต่เป็นการสร้างความคุ้นเคยกับการอยู่เฉยๆ แม้เพียงไม่กี่นาทีต่อวันโดยไม่มีโทรศัพท์หรือสิ่งรบกวน และเทรนด์นี้ก็สามารถสร้างภูมิต้านทานต่อภาวะถูกกระตุ้นมากเกินไปและภาวะหมดไฟได้ด้วยเช่นกัน
.
แล้วเราจะเริ่ม ‘Rawdogging Boredom’ ได้อย่างไร?
.
หากคุณรู้สึกว่าชีวิตถึงจุดที่อยากตะโกนว่า “อยากหลบไปนั่งโง่ๆ ที่ไหนสักที่” นี่อาจเป็นสัญญาณที่ดีที่สุดว่าคุณควรเริ่ม Rawdogging Boredom ทันที ซึ่งไม่จำเป็นต้องสละเวลาเพื่อหลบเข้าป่า หรือนั่งรถไปไกลถึงทะเล แต่สามารถทำได้ง่ายๆ ด้วยวิธีต่อไปนี้
.
[ ] กำหนดเวลา โดยเริ่มต้นจาก 10-15 นาทีตามความถนัด และตั้งใจว่านี่คือช่วงเวลาที่เราจะ ‘Rawdog’ หรืออยู่กับความเบื่อโดยเฉพาะ
.
[ ] กำจัดสิ่งกระตุ้น เช่น วางโทรศัพท์มือถือไว้ให้ไกลจากมือ ปิดการแจ้งเตือนทั้งหมด ห้ามเปิดเพลง หรือหยิบหนังสือขึ้นมาอ่าน และจำเอาไว้เสมอว่ากฎเหล็กของ Rawdogging Boredom คือห้ามมีสิ่งเร้าใดๆ อยู่เลย
.
[ ] แค่นั่งและอยู่กับความเงียบ โดยหาที่นั่งสบายๆ และปล่อยให้ความคิดไหลไปอย่างเป็นธรรมชาติ
.
ในช่วงแรกเราอาจรู้สึกอึดอัด ฟุ้งซ่าน หรือกระสับกระส่าย ซึ่งนี่คือปฏิกิริยาปกติของสมองที่เสพติดการถูกกระตุ้น แต่หน้าที่ของเราคือยอมรับ และอยู่กับความรู้สึกเหล่านั้นโดยไม่ต้องตัดสินหรือตอบสนอง
.
เมื่อคุณผ่านช่วงความอึดอัดไปได้ สมองจะเริ่มเข้าสู่โหมดผ่อนคลายโดยธรรมชาติ ซึ่งเป็นช่วงที่ความคิดสร้างสรรค์ และการประมวลผลข้อมูลที่ซับซ้อนจะกลับมาทำงานได้ดีขึ้น เพราะวิธีเหล่านี้เป็นการบังคับให้สมองได้พักหายใจ ในยุคที่มันถูกใช้งานหนักเกินไปจนเกือบจะหมดไฟ
.
.
ท้ายที่สุดแล้วไม่ว่า Rawdogging Boredom จะเป็นแค่ปรากฏการณ์ทางวัฒนธรรม หรือเทรนด์ที่เกิดขึ้นเพียงชั่วคราวในกลุ่ม Gen Z หรือไม่ อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญต่างเห็นตรงกันว่านี่เป็นกลยุทธ์ที่ดีที่จะต่อต้านกับ ‘ยุควิกฤตของสมาธิ’ อย่างทุกวันนี้
.
การนั่งอยู่เฉยๆ โดยไร้สิ่งกระตุ้นเพียง 10-15 นาทีต่อวัน จึงเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุด เพราะมันคือการที่เรากล้าที่จะ ‘Rawdog’ หรืออยู่กับความเบื่อหน่ายที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันให้ได้ และเปิดโอกาสให้ความคิดที่แท้จริงของเราเองได้ปรากฏออกมาอีกครั้ง
.
ถึงเวลาแล้วหรือยังที่เราจะยินยอมและโอบรับความรู้สึกว่างเปล่า หรือความเบื่อหน่ายของเรา เพื่อแลกกับสมาธิที่มั่นคงและจิตใจที่แข็งแรงขึ้น?
.
.
อ้างอิง
- Why Gen Z Are Putting Themselves in Time Out—Aka ‘Rawdogging Boredom’: Alice Gibbs, NEWSWEEK - bit.ly/3JqImp5
- How did ‘rawdogging’ become part of polite conversation?: Arwa Mahdawi, The Guardian - bit.ly/497tAhn
.
.
rawdoggingboredom
trend
missiontothemoon
missiontothemoonpodcast
5 days ago | [YT] | 59