Mission To The Moon

ผู้เชี่ยวชาญเผย Rawdogging Boredom หรือหลบมุมไป ‘นั่งโง่ๆ’ ของ Gen Z มีประโยชน์กับสมาธิมากกว่าที่คิด
.
เมื่อชีวิตเจอกับความรับผิดชอบและสิ่งที่ต้องทำมากมาย ยังไม่นับรวมความคิดสะระตะที่เราเก็บมาไว้ในหัว หลายคนมักจะเกิดความรู้สึกว่าอยากทิ้งทุกอย่างแล้วไป ‘นั่งโง่ๆ’ ที่ไหนก็ได้สักวันสองวัน
.
โดยเฉพาะกับ Gen Z ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่เติบโตมาในโลกที่ผันผวน เจอกับการเปลี่ยนแปลงในเรื่องต่างๆ มาตลอดทุกช่วงชีวิต เช่น การแข่งขันที่ดุเดือดขึ้นในระบบการศึกษา ความไม่มั่นคงในตลาดแรงงาน ความถดถอยของระบบเศรษฐกิจ รวมไปถึงความเข้มข้นของโซเชียลมีเดียอยู่กับเราแทบตลอด 24 ชั่วโมงจะสมองไม่เคยได้หยุดพักเลยสักครั้ง
.
อย่างไรก็ดี ความน่าเป็นห่วงจากสถานการณ์ปัจจุบันที่ช่วงสมาธิ (Attention Span) ของผู้คนสั้นลงจนเหลือค่าเฉลี่ยเพียงแค่ 47 วินาทีในปัจจุบัน การเกิดขึ้นของเทรนด์ Rawdogging กลับทำให้ผู้เชี่ยวชาญเล็งเห็นถึงโอกาสที่ดี
.
และผู้เชี่ยวชาญยังหวังอีกด้วยว่าเทรนด์ใหม่ของเหล่า Gen Z ที่อยากปลีกวิเวกจากความวุ่นวายของโลกรอบตัวในยุคนี้จะฟื้นฟูช่วงสมาธิ (Attention Span) และทำให้ผู้คนได้กลับมามีเวลาเชื่อมต่อกับตัวเองอย่างมีประสิทธิภาพได้อีกครั้ง
.
.
‘Rawdog’ จากคำสแลงสุดฮิต สู่แว่นสะท้อนสังคมในบริบทปัจจุบัน
.
คำว่า “Rawdog” เป็นคำสแลงภาษาอังกฤษสุดฮิตที่ว่ากันว่าอาจจะถูกรับเลือกให้เป็น ‘คำแห่งปี’ ของ Oxford ในปี 2024 ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม แม้จะไม่ได้ถูกยกให้เป็นคำแห่งปี 2024 แต่ความหมายของ Rawdog ก็ผ่านการพัฒนาและถูกนำไปใช้ในบริบทที่แตกต่างอย่างแพร่หลาย
.
แต่เดิม ความหมายของคำแสลงอย่าง Rawdog หมายถึง “การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย” ในเวลาต่อมา นัยเชิงลบและโทนเสียงที่หยาบคายของคำว่า Rawdog ลดลง (Semantic Bleaching) และได้ถูกนำไปใช้ในสถานการณ์อื่นๆ ที่สื่อถึง ‘การทำสิ่งใดก็ตามที่ไม่ได้เตรียมตัว เตรียมพร้อม หรือป้องกัน’ นอกจากนี้ยังหมายถึง ‘สิ่งที่เบี่ยงเบนความสนใจ’ และ ‘การไม่ได้รับความช่วยเหลือ’ ได้ด้วย
.
ยกตัวอย่างเช่น การดื่มกาแฟดำอาจกล่าวได้ว่า “You’re rawdogging caffeine!” การงดดื่มกาแฟในช่วงเช้าไปเลยอาจกล่าวได้ว่า “You’re rawdogging your mornings.” หรือการเดินทางท่องเที่ยวโดยไม่มีแพลน หรือเดินทางโดยไม่เพิ่งพา Google Map เราอาจกล่าวได้ว่า “Bro, you rawdogged travel!”
.
แล้ว ‘Rawdogging Boredom’ ของ Gen Z หมายถึงอะไร?
.
คำว่า ‘Rawdogging Boredom’ หมายถึง การตั้งใจปลีกตัวจากทุกสิ่ง เพื่อเผชิญหน้ากับความเบื่อโดยตรง โดยกฎปฏิบัติของ Rawdogging Boredom แทบจะไม่มีความซับซ้อนใด ๆ เลย เพราะมีกฎเหล็กเพียงข้อเดียวคือ “ห้ามมีสิ่งกระตุ้นใดๆ อยู่ใกล้ตัว”
.
นั่นหมายความว่า เมื่อเราตัดสินใจที่จะหลบหนีจากความวุ่นวายไป Rawdogging Boredom สัก 10 นาที เราจะต้องนั่งเงียบๆ โดยปราศจากโทรศัพท์มือถือ เสียงเพลง หนังสือ หรือแม้แต่ขนมและเครื่องดื่ม กิจกรรมนี้คือการอนุญาตให้ตัวเองได้รู้สึกถึงความว่างเปล่า ความอึดอัด และฟังเสียงในหัวของตัวเองได้อย่างเต็มที่เป็นเวลาสั้นๆ
.
คงเหมือนกับวลี “อยากไปนั่งโง่ๆ ที่ริมทะเล” ของคนไทย ซึ่งมักถูกนำมาใช้ในช่วงที่ชีวิตวุ่นวาย เช่น ช่วงสอบของเด็กมหาวิทยาลัย ช่วงโปรเจกต์ของคนทำงาน หรือช่วงอกหักที่ทำให้เราเครียด สับสน จนไม่อยากทำอะไร คิดอะไร หรือไม่เอาอะไรแล้ว
.
ทั้งนี้ แม้ว่าความน่าเบื่อจะเป็นความรู้สึกที่น่ากลัวสำหรับคนยุคใหม่ โดยเฉพาะกับเหล่า Gen Z ที่ตัวติดกับมือถือ และโซเชียลมีเดียเกือบตลอด 24 ชั่วโมง แต่ถึงอย่างนั้นก็มี Gen Z จำนวนไม่น้อยที่ได้ลองเทรนด์ ‘Rawdogging Boredom’ แล้วพบว่า
.
ชีวิตที่น่าเบื่อ ไม่ต้องรับรู้อะไร ไม่ต้องคิดและไม่ต้องทำอะไรเพียงแค่ 10-15 นาทีจำเป็นกับพวกเขามากกว่าที่คิด
.
.
ผู้เชี่ยวชาญเผย แค่ ‘นั่งโง่ๆ’ (Rawdogging Boredom) สัก 15 นาทีต่อวันก็เพิ่มสมาธิได้!
.
เทรนด์นี้เกิดขึ้นท่ามกลางความวุ่นวายในทุกมิติชีวิตของ Gen Z ที่ยอมรับว่าทุกวันนี้เราต่างมีสมาธิสั้นลงเรื่อยๆ และกำลังขาดช่วงของการจดจ่อ (Attention Span) อย่างหนัก เนื่องจากการถูกกระตุ้นด้วยคอนเทนต์ที่รวดเร็วอย่างต่อเนื่อง
.
Gloria Mark นักจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เออร์ไวน์ ชี้ว่า “ในปี 2004 เราพบว่าช่วงความสนใจ (Attention Span) เฉลี่ยบนหน้าจอใด ๆ อยู่ที่สองนาทีครึ่ง แต่ราวปี 2012 มันลดลงเหลือ 75 วินาที และในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาอยู่ที่ประมาณ 47 วินาที โดยค่ามัธยฐานอยู่ที่เพียง 40 วินาทีเท่านั้น”
.
ตัวเลขที่ลดลงอย่างน่าตกใจนี้ไม่ได้เป็นแค่สถิติ แต่เป็นภาพสะท้อนของสังคมดิจิทัลที่ทำให้เราถูกกระตุ้นอยู่ตลอดเวลา ซึ่งกำลังส่งสัญญาณบอกเราว่าสมองของเราถูกฝึกให้เสพติดการเปลี่ยนความสนใจไปหาเรื่องใหม่อย่างรวดเร็วทุกๆ 47 วินาที
.
ซึ่งสภาพเช่นนี้ทำให้สมองแทบไม่มีโอกาสได้ดำดิ่งสู่สมาธิหรือ Deep Focus เพื่อประมวลผลข้อมูลที่ซับซ้อนได้เลย อีกทั้งยังนำไปสู่สภาวะเหนื่อยล้าทางความคิด (Cognitive Fatigue) และทำให้ความสามารถในการอดทนอยู่กับความว่างเปล่าหรือ ‘ความเบื่อ’ (Boredom) ลดลงอย่างมาในยุคนี้
.
เมื่อสมองไม่เคยต้องอดทนกับความเบื่อ หรือความรู้สึกว่างเปล่าที่ไร้ซึ่งสิ่งกระตุ้น ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เราอดทนกับความเบื่อไม่ได้ ต้องคอยไถหน้าจอเพื่อลดความเบื่อ แต่ยิ่งไถสมองก็ยิ่งเคยชินกับการถูกกระตุ้น ยิ่งถูกกระตุ้นก็ยิ่งทำกับความเบื่อไม่ได้ไปเรื่อยๆ จึงกลายเป็น ‘วิกฤตสมาธิ’ ที่คนมักจะโฟกัสอะไรได้ไม่นานอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
.
จุดนี้เองที่ทำให้ผู้เชี่ยวชาญมองว่าเทรนด์ ‘Rawdogging Boredom’ ของ Gen Z มีข้อดีมากกว่าที่ใครคิด
.
การนั่งโง่ๆ โดยไร้สิ่งกระตุ้น ไร้คอนเทนต์ที่รวดเร็วมาบีบรัดให้เราต้องรับรู้อยู่เรื่อยนั้นเป็นมากกว่าการพักผ่อน แต่ยังเป็น ‘การรีเซตวงจรของสมอง’ และเป็นการฝึกฝนที่จำเป็นเพื่อทวงคืนความสามารถในการจดจ่อที่หายไป
.
เพราะมันคือการที่เราบังคับให้สมองกลับมาเรียนรู้วิธีอยู่กับตัวเองอย่างสงบ เพื่อให้มันสามารถสร้างสมาธิที่ต่อเนื่องยาวนานขึ้นได้อีกครั้งอย่างเป็นธรรมชาติ
.
อย่างที่ Michael Dzwil นักสังคมสงเคราะห์คลินิกที่ได้รับใบอนุญาต กล่าวว่า “ในวัฒนธรรมที่ยกย่องการทำกิจกรรมอย่างต่อเนื่องและเกิดการกระตุ้นทางดิจิทัลอยู่ตลอดเวลา การตั้งใจใช้เวลาชั่วขณะเพื่อไม่ทำอะไรเลย จึงเป็นการฟื้นฟูอย่างล้ำลึก เพราะช่วงเวลาที่เงียบสงบเปิดโอกาสให้สมองได้รีเซต ลดความเครียด และควบคุมระบบประสาท”
.
Dzwil ยังเสริมอีกว่า Rawdogging Boredom สำคัญมากสำหรับคนหนุ่มสาว เพราะช่วงเวลาสั้นๆ ของความสงบนิ่งเหล่านี้สามารถช่วยให้เราเชื่อมต่อกับความคิดและอารมณ์ของตัวเองอีกครั้ง อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มความคิดสร้างสรรค์และเพื่อระยะเวลาของการจดจ่อ (Attention Span) ให้กับเราได้อย่างมีประสิทธิภาพ
.
นอกจากนี้ Dzwil ยังกล่าวอีกว่า การนั่งเฉยๆ ไม่ทำอะไรหรือไม่คิดอะไรจะไม่ใช่การปฏิเสธความตั้งใจหรือเป้าหมายของตัวเอง แต่เป็นการสร้างความคุ้นเคยกับการอยู่เฉยๆ แม้เพียงไม่กี่นาทีต่อวันโดยไม่มีโทรศัพท์หรือสิ่งรบกวน และเทรนด์นี้ก็สามารถสร้างภูมิต้านทานต่อภาวะถูกกระตุ้นมากเกินไปและภาวะหมดไฟได้ด้วยเช่นกัน
.
แล้วเราจะเริ่ม ‘Rawdogging Boredom’ ได้อย่างไร?
.
หากคุณรู้สึกว่าชีวิตถึงจุดที่อยากตะโกนว่า “อยากหลบไปนั่งโง่ๆ ที่ไหนสักที่” นี่อาจเป็นสัญญาณที่ดีที่สุดว่าคุณควรเริ่ม Rawdogging Boredom ทันที ซึ่งไม่จำเป็นต้องสละเวลาเพื่อหลบเข้าป่า หรือนั่งรถไปไกลถึงทะเล แต่สามารถทำได้ง่ายๆ ด้วยวิธีต่อไปนี้
.
[ ] กำหนดเวลา โดยเริ่มต้นจาก 10-15 นาทีตามความถนัด และตั้งใจว่านี่คือช่วงเวลาที่เราจะ ‘Rawdog’ หรืออยู่กับความเบื่อโดยเฉพาะ
.
[ ] กำจัดสิ่งกระตุ้น เช่น วางโทรศัพท์มือถือไว้ให้ไกลจากมือ ปิดการแจ้งเตือนทั้งหมด ห้ามเปิดเพลง หรือหยิบหนังสือขึ้นมาอ่าน และจำเอาไว้เสมอว่ากฎเหล็กของ Rawdogging Boredom คือห้ามมีสิ่งเร้าใดๆ อยู่เลย
.
[ ] แค่นั่งและอยู่กับความเงียบ โดยหาที่นั่งสบายๆ และปล่อยให้ความคิดไหลไปอย่างเป็นธรรมชาติ
.
ในช่วงแรกเราอาจรู้สึกอึดอัด ฟุ้งซ่าน หรือกระสับกระส่าย ซึ่งนี่คือปฏิกิริยาปกติของสมองที่เสพติดการถูกกระตุ้น แต่หน้าที่ของเราคือยอมรับ และอยู่กับความรู้สึกเหล่านั้นโดยไม่ต้องตัดสินหรือตอบสนอง
.
เมื่อคุณผ่านช่วงความอึดอัดไปได้ สมองจะเริ่มเข้าสู่โหมดผ่อนคลายโดยธรรมชาติ ซึ่งเป็นช่วงที่ความคิดสร้างสรรค์ และการประมวลผลข้อมูลที่ซับซ้อนจะกลับมาทำงานได้ดีขึ้น เพราะวิธีเหล่านี้เป็นการบังคับให้สมองได้พักหายใจ ในยุคที่มันถูกใช้งานหนักเกินไปจนเกือบจะหมดไฟ
.
.
ท้ายที่สุดแล้วไม่ว่า Rawdogging Boredom จะเป็นแค่ปรากฏการณ์ทางวัฒนธรรม หรือเทรนด์ที่เกิดขึ้นเพียงชั่วคราวในกลุ่ม Gen Z หรือไม่ อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญต่างเห็นตรงกันว่านี่เป็นกลยุทธ์ที่ดีที่จะต่อต้านกับ ‘ยุควิกฤตของสมาธิ’ อย่างทุกวันนี้
.
การนั่งอยู่เฉยๆ โดยไร้สิ่งกระตุ้นเพียง 10-15 นาทีต่อวัน จึงเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุด เพราะมันคือการที่เรากล้าที่จะ ‘Rawdog’ หรืออยู่กับความเบื่อหน่ายที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันให้ได้ และเปิดโอกาสให้ความคิดที่แท้จริงของเราเองได้ปรากฏออกมาอีกครั้ง
.
ถึงเวลาแล้วหรือยังที่เราจะยินยอมและโอบรับความรู้สึกว่างเปล่า หรือความเบื่อหน่ายของเรา เพื่อแลกกับสมาธิที่มั่นคงและจิตใจที่แข็งแรงขึ้น?
.
.
อ้างอิง
- Why Gen Z Are Putting Themselves in Time Out—Aka ‘Rawdogging Boredom’: Alice Gibbs, NEWSWEEK - bit.ly/3JqImp5
- How did ‘rawdogging’ become part of polite conversation?: Arwa Mahdawi, The Guardian - bit.ly/497tAhn
.
.
rawdoggingboredom
trend
missiontothemoon
missiontothemoonpodcast

5 days ago | [YT] | 59