Money Chat Thailand

Money Chat Thailand

ผู้ผลิต Content เศรษฐกิจ ธุรกิจ การเงิน การลงทุน เริ่มต้นจากแนวคิด “ลงทุนง่าย ๆ แค่ปลายนิ้ว” ส่งเสริมให้ทุกคนรู้จักและเข้าใจการกับลงทุนในยุคดิจิทัล ที่ทุกคนรับข้อมูลข่าวสารได้จากช่องทางออนไลน์ ออฟไลน์ในทุกรูปแบบ และการลงทุนปัจจุบันเริ่มต้นด้วยเงินเพียงไม่กี่ร้อยบาท ก็สามารถสร้างความมั่งคั่งในอนาคตได้...

ช่องทางการรับชม

Website : moneychat.co.th

FACEBOOK : bit.ly/3op2gCi

YOUTUBE : bit.ly/3ncRWhf

LINE Official Account : bit.ly/31YqP1j

IG : bit.ly/3CeSw2p

Blockdit : bit.ly/31ZzWPi

Podcasts : apple.co/3DdAEpT

Tiktok : bit.ly/3n9vZ2D

Twitter : bit.ly/3HHkJmo




Money Chat Thailand

AURA ดันแบรนด์ไทยติดอันดับ Luxury World Class
คว้ารางวัล Luxury Lifestyle Awards-TOP 100 Jewelry & Watch Brands of the World

บริษัท ออโรร่า ดีไซน์ จำกัด (มหาชน) ผู้นำธุรกิจค้าปลีกทองคำและจิวเวลรี่ของประเทศไทย สร้างประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญบนเวทีโลก ด้วยการถูกคัดเลือกให้เป็นหนึ่งใน TOP 100 Jewelry & Watch Brands of the World จาก Luxury Lifestyle Awards (LLA) นับเป็นการประกาศรางวัลของวงการ ลักชัวรี่ ที่ได้รับการยกย่องมากที่สุดรางวัลหนึ่งของโลก จากประเทศสหรัฐอเมริกา และตอกย้ำว่าออโรร่า ได้ก้าวขึ้นเป็น Luxury Experience Brand

นายอนิพัทย์ ศรีรุ่งธรรม ประธานเจ้าหน้าที่สายงานการตลาด บริษัท ออโรร่า ดีไซน์ จำกัด (มหาชน) หรือ AURA กล่าวว่า “ปีนี้ถือเป็นก้าวประวัติศาสตร์ของ Aurora Design เมื่อเราได้รับคัดเลือกให้เป็นหนึ่งใน TOP 100 Jewelry & Watch Brands of the World ประจำปี 2025 จากเวที Luxury Lifestyle Awards ซึ่งเป็นเวทีระดับโลกที่คัดเลือกแบรนด์ลักชัวรี่จากทั่วทุกมุมโลก โดยให้ความสำคัญกับความโดดเด่นด้านงานออกแบบ นวัตกรรม เอกลักษณ์ คุณภาพ และความงามเหนือกาลเวลา นับเป็นความภาคภูมิใจอย่างยิ่งที่ชื่อของ Aurora Design ได้ก้าวขึ้นไปยืนเคียงข้างแบรนด์ลักชัวรี่ระดับสากลมากมาย”

การได้รับการจัดอันดับ TOP 100 Jewelry & Watch Brands of the World ในปีนี้ Aurora Design ถือเป็นหนึ่งในสองแบรนด์ไทยเท่านั้น ที่ได้รับการจัดอันดับ และเป็น “แบรนด์ค้าปลีกทองคำรายเดียวของประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” ที่ได้รับการยอมรับเคียงข้างแบรนด์ชั้นนำระดับโลก เป็นการตอกย้ำศักยภาพของออโรร่าในฐานะแบรนด์ทองคำและจิวเวลรี่ไทยที่พร้อมยกระดับมาตรฐานอุตสาหกรรมทองคำไทยสู่เวทีสากล และสามารถตอบสนอง Luxury Lifestyle ของตลาด hi-end ได้อย่างครบวงจร”

หัวใจสำคัญของ Aurora Design คือพันธกิจในการส่งมอบความสุขผ่านแนวคิด “AURORA ของขวัญแห่งความสุขที่มีคุณค่า”

ด้วยประสบการณ์กว่า 50 ปีที่ผสานรากฐานดั้งเดิมเข้ากับนวัตกรรมและความเข้าใจผู้บริโภคอย่างลึกซึ้ง ออโรร่าจึงให้ความสำคัญตั้งแต่การออกแบบสินค้าไปจนถึงประสบการณ์ในร้านทุกสาขา และในฐานะ First Mover ของธุรกิจร้านค้าปลีกทองคำไทย ออโรร่าเป็นผู้บุกเบิกสิ่งใหม่ในตลาดเสมอ ไม่ว่าจะเป็นร้านทองแห่งแรกในห้างสรรพสินค้า หรือร้านทองบนสถานีรถไฟฟ้า BTS สะท้อนมุมมองที่มองไกลและเข้าใจความต้องการลูกค้าก่อนใคร


หนึ่งในจุดแข็งของบริษัท คือ “ความน่าเชื่อถือ” ที่ได้รับการพิสูจน์ผ่านมาตรฐานสากลต่างๆ ได้แก่
- ทองคำบริสุทธิ์ 96.5% ทุกชิ้นตรวจสอบรับรอง
- Highest Buyback Price Guarantee รับซื้อคืนในราคาที่ดีที่สุด
ใบรับประกันสินค้า
- บริการซ่อมฟรีตลอดอายุการใช้งาน

Aurora Design ให้ความสำคัญกับนวัตกรรมที่ยกระดับธุรกิจค้าทองสู่ผู้บริโภคยุคใหม่ เช่น
- AI Fulfillment System วิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้าในแต่ละพื้นที่เพื่อส่งสินค้าได้ตรงกลุ่มเป้าหมายกว่า 500 สาขา
- บริการตรวจสอบพระเครื่อง ร่วมกับผู้เชี่ยวชาญระดับประเทศ
- Aurora Diamond และคอลเลกชันเพชร ไข่มุก และอัญมณีที่ตรวจสอบย้อนกลับได้
ในด้าน Sustainability ความยั่งยืนของ Aurora ผสานแนวคิดรักษ์โลกเข้ากับธุรกิจ
- เครื่องประดับที่รับซื้อคืนกว่า 80% ถูกปรับสภาพและนำกลับมาจำหน่าย ช่วยหมุนเวียนทรัพยากรในระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy)
- ทองรูปพรรณผลิตจาก ทองคำรีไซเคิล 100% ลดผลกระทบจากเหมืองแร่
- บริหารพลังงานภายในร้านและใช้บรรจุภัณฑ์ที่ย่อยสลายได้ ทั้งหมดนี้ช่วยลดต้นทุน ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และสร้างความเชื่อมั่นเชิงบวกแก่ลูกค้า

การบริการที่ยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง ด้วยแนวคิด “Aurora Care”
พนักงานได้รับการพัฒนาให้มีทักษะบริการแบบเข้าใจลูกค้าอย่างแท้จริง เสริมด้วยเครื่องมือดิจิทัล เช่น Aurora Gift Application และแคมเปญตามเทศกาลที่ตอกย้ำว่า “เครื่องประดับคือของขวัญที่มีความหมาย”

การได้รับรางวัลระดับสากลจาก Luxury Lifestyle Awards TOP 100 Jewelry & Watch Brands of the World ถือเป็นก้าวสำคัญที่ยืนยันว่า Aurora Design ไม่เพียงเป็นผู้นำในประเทศไทย แต่กำลังก้าวขึ้นสู่เวทีลักชัวรี่ระดับโลก ด้วยพลังจากความซื่อสัตย์โปร่งใส (Integrity) นวัตกรรม (Innovation) ความเป็นเลิศด้านดีไซน์ (Design Excellence) และการส่งมอบความสุขให้ลูกค้า (Customer Happiness) ตอกย้ำก้าวที่ยิ่งใหญ่ของผู้นำแบรนด์ทองคำและจิวเวลรี่ไทยที่สามารถเติบโตและยืนหยัดบนเวทีโลกได้อย่างสง่างาม

1 week ago (edited) | [YT] | 16

Money Chat Thailand

📣🔥 ชั่วโมงสุดท้าย 12.12 FLASH SALE วันเดียวเท่านั้น!
บัตรงานสัมมนาใหญ่ด้านการลงทุนแห่งปี
เหลือเพียง 990.- 🔥✨

ปี 2026 จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เมื่อดอกเบี้ย และ AI กำลังสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ต่อเศรษฐกิจโลก ภาคธุรกิจ และตลาดลงทุน ถึงเวลาปรับ “แผนความมั่งคั่ง” เพื่อไปต่อให้ทันโลกใหม่

พบกับ
MONEY CHAT : MEET & GREET #5
WEALTH SHIFT✨
โลกใหม่ มั่งคั่งเปลี่ยน

อัดแน่น 6 เวทีที่รวมความรู้และประสบการณ์เชิงลึก มองไกล เพื่อให้นักลงทุนพร้อมรับมือ และ “ก้าวนำ” ในโลกยุคใหม่ที่กำลังจะมาถึง จาก 15 กูรูระดับประเทศ

• ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล
กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ และเลขานุการ ธนาคารกรุงเทพ (มหาชน)

• เสี่ยยักษ์ วิชัย วชิรพงศ์
นักลงทุน

• ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ต้นแบบนักลงทุนเน้นคุณค่า

• เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม
คุณจิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา

• สุธน สิงหสิทธางกูร
นักลงทุนเน้นคุณค่า

• ชยนนท์ รักกาญจนันท์
ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง บลน.ฟินโนมีนา

• มทินา วัชรวราทร CFA,
Head of Investment Strategy บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด

• ภาคภูมิ ศิริหงษ์ทอง
นายกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า

• สิทธิชัย ดวงรัตนฉายา
นักกลยุทธ์อาวุโสตลาดหุ้นไทย และต่างประเทศ InnovestX

• อลงกฎ มโนรุ่งเรืองรัตน์
นักลงทุนต่างประเทศ

• กิตติศักดิ์ โควินทวีวัฒน์
นักลงทุนต่างประเทศ

• ณัฐพล คำถาเครือ
ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์การลงทุนบริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด

• อรรถนันต์ ปิยเศรษฐ์
ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่าย Structured Products และฝ่ายหลักทรัพย์ต่างประเทศ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน)

🔥วันนี้ วันเดียว ราคาเดียว!
เฉพาะ 12 ธันวาคมนี้ เท่านั้น🔥

📍วันเสาร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2569
โรงภาพยนตร์ที่ 8
SF World Cinema - Central World

สำรองที่นั่งและดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
www.zipeventapp.com/e/MONEY-CHAT-MEET-GREET-5

2 weeks ago | [YT] | 26

Money Chat Thailand

GC ปิดขายหุ้นกู้ด้อยสิทธิ
มูลค่ารวม 10,000 ล้าน
สำเร็จตามเป้า
ตอกย้ำนักลงทุนเชื่อมั่น

บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC ผู้นำในธุรกิจเคมีภัณฑ์ระดับสากล และแกนนำธุรกิจเคมีภัณฑ์ของกลุ่ม ปตท. ประกาศความสำเร็จในการเสนอขายหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนฯ ชุดใหม่ มูลค่ารวม 10,000 ล้านบาท ด้วยการตอบรับอย่างดีจากนักลงทุน สะท้อนความเชื่อมั่นต่อฐานะทางการเงินและศักยภาพการดำเนินธุรกิจ พร้อมส่งเสริมความมั่นคงของโครงสร้างเงินทุนระยะยาว รองรับกลยุทธ์การเติบโตในธุรกิจมูลค่าสูง–คาร์บอนต่ำ (High Value–Low Carbon)

หุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนฯ ของ GC ครั้งนี้กำหนดอัตราดอกเบี้ย 5 ปี 6 เดือนแรกที่ 4.40% ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุก 6 เดือน เสนอขายต่อประชาชนเป็นการทั่วไป (Public offering) เมื่อวันที่ 27-28 พฤศจิกายน และวันที่ 1-3 ธันวาคม 2568 ที่ผ่านมา ซึ่งได้รับความสนใจจากนักลงทุนเป็นจำนวนมาก

นายทิติพงษ์ จุลพรศิริดี รองกรรมการผู้จัดการใหญ่สายงานการเงินและบัญชี กล่าวว่า “GC ได้ปิดการเสนอขายหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนฯ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ด้วยมูลค่ารวมทั้งสิ้น 10,000 ล้านบาทตามเป้าหมาย โดยได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุนในวงกว้าง สะท้อนถึงความสำเร็จในการดำเนินกลยุทธ์ด้านการเงินอย่างมีประสิทธิภาพ และทิศทางการดำเนินงานที่ชัดเจนของบริษัทฯ ท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมที่ท้าทาย GC ขอขอบคุณนักลงทุนทุกท่านที่มอบความไว้วางใจ ซึ่งถือเป็นแรงสนับสนุนสำคัญในการการขับเคลื่อนสู่การเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนในระยะยาว”

สำหรับเงินที่ได้รับจากออกหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนฯ ในครั้งนี้ GC มีแผนนำไปใช้ในการชำระคืนหนี้เงินกู้ การลงทุน การรองรับค่าใช้จ่ายในกิจการที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจในปัจจุบัน การบริหารจัดการด้านการเงินอย่างมีวินัย รวมทั้งบริหารจัดการโครงสร้างเงินทุนให้มีความยืดหยุ่นและมั่นคงในระยะยาว ทั้งยังเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสุนนกลยุทธ์การเติบโตของธุรกิจมูลค่าสูง-คาร์บอนต่ำ (High Value-Low Carbon) สอดคล้องกับเป้าหมายด้าน ESG ที่ GC ยึดมั่นในการดำเนินธุรกิจอย่างรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม

กลุ่มผู้จัดการการจัดจำหน่าย กล่าวว่า “แม้หุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนฯ จะมีความเสี่ยงสูงกว่าหุ้นกู้ทั่วไป จากโครงสร้างการชำระคืนที่ยืดหยุ่นกว่าสำหรับผู้ออกหุ้นกู้ แต่ด้วยพื้นนฐานที่แข็งแกร่งของ GC และความเชื่อมั่นในกลุ่ม ปตท. ทำให้การเสนอขายครั้งนี้ได้รับผลการตอบรับอย่างดีจากนักลงทุน อีกทั้ง ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) ได้จัดอันดับความน่าเชื่อถือของ GC ที่ระดับ “AA-(tha)” แนวโน้ม “มีเสถียรภาพ” และจัดอันดับความน่าเชื่อถือของหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนฯ ชุดนี้ ที่ระดับสูงถึง “A(tha)” ซึ่งถือเป็นอันดับความน่าเชื่อถือของหุ้นกู้ประเภทนี้ที่สูงที่สุดในประเทศไทยสะท้อนถึงความมั่นคงทางการเงินและความเชื่อมั่นต่อ GC”

“พร้อมกันนี้ GC ขอขอบคุณผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ทั้ง 12 แห่ง ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ กรุงไทย เอ็กซ์สปริง จำกัด บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) และบริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ที่ให้ความร่วมมืออย่างดียิ่งและมีบทบาทสำคัญในการผลักดันให้การเสนอขายหุ้นกู้ครั้งนี้เป็นไปอย่างราบรื่นและประสบความสำเร็จ” นายทิติพงษ์ กล่าวทิ้งท้าย

บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จํากัด (มหาชน) หรือ GC มุ่งมั่นเป็นผู้นำในธุรกิจเคมีภัณฑ์ระดับสากล เพื่อสร้างสรรค์คุณภาพชีวิตของผู้คนให้ดีขึ้นด้วยนวัตกรรมพลาสติกและเคมีภัณฑ์ ตามวิสัยทัศน์ของเราในการเป็นเคมีที่เข้าถึงทุกความสุข ดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงดุลยภาพของสิ่งแวดล้อม (Environment) สังคม (Social) และบรรษัทภิบาลและเศรษฐกิจ (Governance & Economic) (ESG) ส่งเสริมการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุดตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) พร้อมพัฒนาผลิตภัณฑ์และโซลูชั่นที่ตอบโจทย์ความต้องการของโลกอนาคต ควบคู่ไปกับการดูแลผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วน

GC เป็นบริษัทหนึ่งเดียวในโลก ที่ได้รับการจัดอันดับจากดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ (Dow Jones Sustainability Indices: DJSI) ให้เป็นที่ 1 ในกลุ่มธุรกิจเคมีภัณฑ์ ด้วยคะแนนสูงสุด 6 ปีต่อเนื่อง โดย S&P Global รวมถึงได้รับการจัดอันดับให้เป็นผู้นำระดับ A ในด้านการบริหารจัดการน้ำ ติดต่อกัน 5 ปี ซ้อน (ปี พ.ศ. 2563-2567) และระดับ B ในด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จาก CDP ปัจจุบัน GC มีฐานการผลิตและจัดจำหน่ายกว่า 90 แห่ง และศูนย์วิจัยและพัฒนากว่า 40 แห่ง ใน 20 ประเทศทั่วโลก ทั้งนี้ GC ตั้งเป้าเป็นองค์กรคาร์บอนต่ำควบคู่กับการเติบโตทางธุรกิจอย่างยั่งยืน และมุ่งสู่เป้าหมาย การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี พ.ศ. 2593

3 weeks ago | [YT] | 13

Money Chat Thailand

2026 คาดดอลลาร์ส่ออ่อนค่า
ก่อนฟื้นตัวครึ่งปีหลัง
มองเงินบาทผันผวนหนัก
ยุค New Normal


Krungthai Global Markets ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยบทวิเคราะห์ทิศทางตลาดการเงินโลกปี 2026 ภายใต้ธีม "The Great Bifurcation" หรือการแยกตัวของทิศทางเศรษฐกิจและการเงิน โดยประเมินว่าปี 2026 จะเป็นปีที่มีความท้าทายสูง และจะเห็นการเคลื่อนไหวของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ในสองทิศทางที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนระหว่างครึ่งปีแรกและครึ่งปีหลัง พร้อมเตือนผู้ประกอบการรับมือความผันผวนของค่าเงินบาทในระดับที่สูงกว่าอดีต

ทีมกลยุทธ์ตลาดการเงินประเมินว่า ในช่วงครึ่งแรกของปี 2026 ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ มีแนวโน้มทยอยอ่อนค่าลง โดยได้รับแรงกดดันจากการดำเนินนโยบายการเงินของเฟดที่คาดว่าจะเดินหน้าปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 2 ครั้ง ครั้งละ 0.25% ในเดือนมีนาคมและมิถุนายน 2026 เพื่อประคองตลาดแรงงานที่ชะลอตัว ส่งผลให้ดอกเบี้ยนโยบายจบที่ระดับ 3.00-3.25%

อย่างไรก็ตาม ในช่วงครึ่งหลังของปี 2026 สถานการณ์มีโอกาสพลิกกลับ โดยเงินดอลลาร์อาจกลับมาแข็งค่าขึ้นในลักษณะ Sideways Up ปัจจัยหนุนสำคัญมาจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ได้รับอานิสงส์จากการลงทุนในธีม AI และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทางการคลัง (One Big Beautiful Bill Act) ซึ่งจะทำให้ธีม "US Exceptionalism" กลับมาเป็นแรงขับเคลื่อนดอลลาร์อีกครั้ง

สำหรับค่าเงินเยน ทาง Krungthai Global Markets ยังคงมุมมองเชิงบวก (Bullish) โดยมองว่าเงินเยนในปัจจุบันยังอยู่ในระดับที่ถูกกว่ามูลค่าพื้นฐาน ปัจจัยหลักที่จะหนุนการแข็งค่าคือการปรับนโยบายการเงินเข้าสู่ภาวะปกติของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ซึ่งคาดว่าจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายราว 2 ครั้งในปี 2026 สู่ระดับ 1.00% สวนทางกับทิศทางดอกเบี้ยขาลงของเฟด อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงจากเสถียรภาพทางการเมืองในญี่ปุ่นยังเป็นปัจจัยที่ต้องจับตามอง

ด้านค่าเงินบาท คาดว่าจะมีความผันผวนสูงขึ้นในระดับ 7% ต่อปี ซึ่งถือเป็น New Normal จากเดิมที่เคยผันผวนเพียง 4-5% โดยมีแนวโน้มเคลื่อนไหว ดังนี้

📍 ครึ่งปีแรก 2026: เงินบาทมีโอกาสแข็งค่าหลุดระดับ 32.00 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ (เป้าหมายไตรมาส 1 ที่ 31.25 บาท) แรงหนุนมาจากช่วงไฮซีซั่นของการท่องเที่ยว การอ่อนค่าของดอลลาร์ และเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติก่อนการเลือกตั้งทั่วไปของไทย

📍 ครึ่งปีหลัง 2026: มีความเสี่ยงที่เงินบาทจะพลิกกลับมาอ่อนค่าทดสอบโซน 33.00 บาทต่อดอลลาร์ฯ จากความไม่แน่นอนทางการเมืองหลังการเลือกตั้ง และการกลับมาแข็งค่าของเงินดอลลาร์

สำหรับดอกเบี้ยนโยบายของไทย คาดว่าธนาคารแห่งประเทศไทยจะปรับลดดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมเดือนธันวาคม 2025 สู่ระดับ 1.25% และมีแนวโน้มคงดอกเบี้ยไว้ที่ระดับดังกล่าวตลอดปี 2026 เพื่อรักษาขีดความสามารถในการดำเนินนโยบาย หรือ Policy Space ไว้ใช้ในยามจำเป็น

ส่วนทองคำยังคงเป็นสินทรัพย์แนะนำเพื่อกระจายความเสี่ยง (5-10% ของพอร์ต) โดยคาดการณ์เป้าหมายราคาสิ้นปี 2026 ที่ 4,300 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ปัจจัยหนุนยังคงมาจากแนวโน้มดอกเบี้ยขาลงและความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ แต่คาดว่าจะไม่เห็นการปรับตัวขึ้นที่ร้อนแรงเหมือนในปี 2025 และอาจมีการย่อตัวลงบ้างในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2026 หากตลาดเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น

นอกเหนือจากสกุลเงินหลักและทองคำแล้ว เศรษฐกิจในภูมิภาคอื่นยังมีประเด็นที่น่าสนใจ โดย เงินยูโรมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นในช่วงครึ่งปีแรกจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจยูโรโซนและนโยบายการคลัง ก่อนจะย่อตัวลงในช่วงครึ่งปีหลังตามการกลับมาแข็งแกร่งของดอลลาร์ ขณะที่ เศรษฐกิจจีน คาดว่าจะค่อยๆ ฟื้นตัวจากการลงทุนในเทคโนโลยีและการกระตุ้นการบริโภค ซึ่งจะช่วยหนุนให้เงินหยวนทยอยแข็งค่าขึ้นได้

#เศรษฐกิจโลก #ค่าเงินบาท #ดอลลาร์ #ทองคำ #การลงทุน #KrungthaiGlobalMarkets #MoneyChatThailand

3 weeks ago (edited) | [YT] | 23

Money Chat Thailand

ทองปิดเหนือแนวต้าน
ลุ้น 4,500 เหรียญสิ้นปี
มอง "กระทิง" รับปีหน้า

ราคาทองคำกลับมาคึกคักอีกครั้ง โดยสัญญาล่วงหน้า พุ่งทะลุระดับ 4,200 เหรียญต่อออนซ์ ท่ามกลางความคาดหวังว่าเฟดจะลดดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมเดือนธันวาคมนี้ และตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่เริ่มส่งสัญญาณชะลอตัว คำถามสำคัญคือนี่คือ ขาขึ้นรอบใหม่ของจริง หรือเป็นเพียงการเด้งสั้นๆ?

คุณเศรษฐวัชร์ พุทธทิพย์ นักวิเคราะห์จาก อินเตอร์โกลด์ วิเคราะห์ว่า สถานการณ์ทองคำในเดือนพฤศจิกายนได้พลิกจากความกลัวมาเป็นความหวังอย่างชัดเจน

"ถ้าทองคำปิดยืนเหนือ 4,200 เหรียญ ได้ จะเป็นตัวเลขจิตวิทยาที่สำคัญมาก และมีโอกาสสูงที่จะวิ่งไปต่อในเดือนธันวาคม โดยเป้าหมายระยะสั้นมีลุ้นเห็น 4,500 เหรียญ ภายในสิ้นปีนี้"

นอกจากปัจจัยพื้นฐานเรื่องเฟดลดดอกเบี้ยที่มีโอกาสสูงถึง 84% แล้ว คุณเศรษฐวัชร์ยังเปิดเผยสถิติที่น่าสนใจอย่าง Christmas Effect ซึ่งจากการเก็บข้อมูลย้อนหลัง 22 ปี พบว่า การซื้อทองคำในคืนวันคริสต์มาส (25 ธ.ค.) และถือไปขายหลังปีใหม่ (2 ม.ค.) มีโอกาสชนะสูงถึง 82% และให้ผลตอบแทนเฉลี่ยราว 26 เหรียญ ซึ่งเป็นทริคเล็กๆ น้อยๆ สำหรับนักเก็งกำไรระยะสั้น

สำหรับ ทองคำไทย แม้ราคาทองโลกจะพุ่ง แต่ค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มแข็งค่าตามการอ่อนค่าของดอลลาร์ อาจกดดันให้ราคาทองไทยขึ้นไม่แรงเท่า โดยคุณเศรษฐวัชร์ประเมินว่า ราคาทองไทยอาจไม่กลับไปทำ New High ที่ 67,500 บาท ในเร็วๆ นี้ แต่จะเป็นลักษณะค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งถือเป็นเรื่องดีสำหรับนักออมทองที่จะได้ต้นทุนที่ถูกลง

มองข้ามช็อตไปปีหน้า (2569) คุณเศรษฐวัชร์มั่นใจว่าราคาทองคำจะทะลุ 5,000 เหรียญ ได้อย่างแน่นอน จากปัจจัยหนุนทั้งดอกเบี้ยขาลงต่อเนื่อง, ปัญหาหนี้สาธารณะสหรัฐฯ ที่พุ่งสูงขึ้น และกระแส De-dollarization ที่ทำให้ธนาคารกลางทั่วโลกหันมาสะสมทองคำมากขึ้น ปีหน้าทองคำยังมีโอกาสทำ New High อีกรอบ โดยเป้าหมาย 5,000 เหรียญ ไม่ใช่เรื่องไกลเกินฝัน

สำหรับกลยุทธ์การลงทุนช่วงนี้
📍 สายเล่นสั้น: เก็งกำไรรับข่าวเฟดลดดอกเบี้ย โดยทยอยขายทำกำไรก่อนวันที่ 10 ธ.ค. เพื่อลดความเสี่ยงจากความผันผวนหลังประชุม
📍 สายถือยาว/ออมทอง: จังหวะที่ราคาย่อตัวลงมาแถว 62,000 - 63,000 บาท ถือเป็นโซนสะสมที่ดี ไม่ต้องรอให้ราคาลงไปต่ำกว่า 60,000 บาท เพราะโอกาสเกิดขึ้นยากแล้ว

"อย่ารอให้ราคาพุ่งไป 64,000 - 65,000 แล้วค่อยมาถามว่าซื้อได้ไหม ตอนนี้คือจังหวะที่ควรมีของติดไม้ติดมือไว้บ้าง"

https://youtu.be/FdmjpLO2sk8

3 weeks ago | [YT] | 83

Money Chat Thailand

ฐานทองคำ 61,000 บาทแน่น
ปีหน้าลุ้นทะลุ $5,000 เหรียญ
รับดอกเบี้ยขาลง-หนี้สหรัฐฯ

หลังจากราคาทองคำร่วงแรงจนทำเอานักลงทุนใจหายใจคว่ำ ล่าสุดราคาทองคำเริ่มเห็นสัญญานการฟื้นตัว และการสร้างฐานที่แข็งแกร่งรอบใหม่ อย่างไรก็ดี ยังคงมีคำถามสำคัญที่ติดใจนักลงทุนหลายคนว่า "นี่คือการกลับมาของกระทิงรอบใหม่ หรือเป็นเพียงการเด้งระยะสั้น?"

นพ.กฤชรัตน์ หิรัณยศิริ ประธานกรรมการกลุ่มบริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ แม่ทองสุก วิเคราะห์ว่า การปรับฐานของราคาทองคำรอบนี้ถือว่าจบแล้ว และเป็นการกลับตัวแบบ "Bottom Out" ที่แข็งแกร่ง โดยราคาทองคำสามารถย่ำฐานเหนือ 4,030 เหรียญได้ และไม่ทำ New Low ซึ่งในทางเทคนิคถือเป็นสัญญาณที่ดีมาก โอกาสที่ราคาจะกลับลงมาต่ำกว่า 4,000 เหรียญ หรือราคาทองไทยต่ำกว่า 61,000 บาท น่าจะมีไม่ถึง 20% แล้ว นักลงทุนที่ตกรถสามารถทยอยเข้าซื้อสะสมในช่วงนี้

นพ.กฤชรัตน์ มองว่า ปัจจัยพื้นฐานยังคงสนับสนุนราคาทองคำในระยะยาว ทั้งแนวโน้มดอกเบี้ยขาลงของเฟด ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอนในปีหน้า และปัญหา หนี้สาธารณะสหรัฐฯที่พุ่งสูงขึ้นทุก 100 วัน วันละ $1 ล้านล้าน ซึ่งจะกดดันให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงและเป็นผลบวกต่อทองคำ

นอกจากนี้ ยังมีตัวละครลับที่เข้ามามีบทบาทสำคัญ คือกลุ่ม Tether ผู้ให้บริการ Stablecoin (USDT) ที่หันมาซื้อทองคำเพื่อ Back Up เหรียญดิจิทัลของตนเอง โดยปีที่ผ่านมาซื้อไปกว่า 104 ตัน และมีแผนซื้อเพิ่มอีกไม่ต่ำกว่า 100 ตันในปีหน้า ซึ่งถือเป็นผู้เล่นรายใหญ่ที่มีกำลังซื้อเทียบเท่าธนาคารกลางของประเทศต่างๆ

สำหรับเป้าหมายราคาทองคำ นพ.กฤชรัตน์ ให้กรอบสิ้นปีนี้ที่ 4,250 - 4,350 เหรียญ ซึ่งถือว่าน่าพอใจแล้ว แต่ไฮไลท์สำคัญอยู่ที่ปีหน้า (2569) ที่มองว่าราคาทองคำมีโอกาสทะลุ 5,000 เหรียญ ได้อย่างแน่นอน โดยมองว่าปีหน้าทองคำน่าจะขึ้นได้อีก 20-25% จากปัจจัยเรื่องดอกเบี้ยขาลง และความกังวลเรื่องหนี้สาธารณะสหรัฐฯ ซึ่งจะทำให้คนหันมาถือครองทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยและ Store of Value มากขึ้น

อย่างไรก็ตาม นพ.กฤชรัตน์ เตือนนักลงทุนว่า แม้ทองคำจะเป็นขาขึ้น แต่ความผันผวนก็สูงขึ้นเช่นกัน การเก็งกำไรในตลาดล่วงหน้าที่ใช้ Leverage สูง มีความเสี่ยงมาก ดังที่เห็นจากเหตุการณ์ทุบราคาในช่วงที่ผ่านมา ทำให้นักลงทุนรายย่อยขาดทุนจำนวนมาก

นพ.กฤชรัตน์ได้กล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า การลงทุนที่ดีที่สุดคือการใช้เงินเย็น ซื้อสะสมและถือยาว ซึ่งจะชนะเงินเฟ้อและให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าการฝากธนาคารแน่นอน

รับชมคลิปเต็ม
https://www.youtube.com/watch?v=8jQ6V...

3 weeks ago | [YT] | 62

Money Chat Thailand

[ทอง VS บิตคอยน์]
บทความโดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

ช่วง 2-3 ปีนี้ นักลงทุนไทยโดยเฉพาะที่ยังหนุ่มสาวหันมาลงทุนในทองคำและบิตคอยน์เพิ่มขึ้นมาก เหตุผลเพราะทองคำในรอบ 1 ปีที่ผ่านมาให้ผลตอบแทนประมาณ 59% 5 ปีที่ผ่านมาให้ผลตอบแทน 134% หรือเท่ากับ 18.5% ต่อปีแบบทบต้น และ 20 ปีที่ผ่านมา 739% หรือเท่ากับผลตอบแทนทบต้น 11.2% ต่อปี ในช่วงเวลาที่ยาวนานมาก ซึ่งถือว่าดีเยี่ยมและไม่เคยเป็นมาในประวัติศาสตร์ของทองคำ และก็ดีกว่าหุ้นส่วนใหญ่ในตลาดหุ้นโลก

ในส่วนของบิตคอยน์นั้น ผลตอบแทน 1 ปีที่ผ่านมาติดลบ 5-6% แต่ผลตอบแทนย้อนหลัง 5 ปีนั้นอยู่ที่ 406% หรือให้ผลตอบแทนทบต้นถึงปีละ 38.3% ซึ่งก็เป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสุดยอดที่ไม่สามารถหาได้จากการลงทุนอื่นรวมถึงตลาดหุ้น Nasdaq ที่ว่าเป็นสุดยอดของการลงทุนในช่วงเวลานี้ที่ให้ผลตอบแทน 5 ปี ที่ประมาณ 13.6% ต่อปีแบบทบต้น และผลตอบแทน 20 ปีที่ปีละประมาณ 9.7% แบบทบต้น

สรุปก็คือ ในระยะ “กลาง” คือ 5 ปี บิตคอยน์เป็นสุดยอดของการลงทุน ในระยะยาว 20 ปี ทองเป็นสุดยอดของการลงทุน ในขณะที่บิตคอยน์นั้น เป็นการลงทุนรูปแบบใหม่ที่เพิ่งจะ Active หรือเกิดขึ้นและคนเข้ามาเล่นกันประมาณ 8-9 ปีนี้เอง และก็เริ่มจะบูมเมื่อประมาณ 5 ปีที่ผ่านมาพร้อม ๆ กับการลงทุนแบบอื่น ๆ รวมถึงหุ้นที่วิ่งกันระเบิด

ผมคงไม่พูดถึงหุ้นที่มีการพูดถึงกันมากแล้วและเราก็ลงทุนกันมานาน ส่วนตัวผมเองก็ลงทุนมายาวนานถึง 30 ปีแล้วโดยที่ไม่เคยสนใจการลงทุนอื่นเลยรวมถึงทองคำที่ผมมีความเชื่อมาตลอดว่าเป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนต่ำแค่พอ ๆ กับเงินเฟ้อคือประมาณ 3% ต่อปี และบิตคอยน์ที่ผมคิดว่าเป็น “สินทรัพย์ในจินตนาการ” ที่ไม่มีพื้นฐานและประเมินมูลค่าไม่ได้

ใช่แล้ว ผมกำลังจะเปรียบเทียบระหว่างทองคำกับบิตคอยน์ว่าคุณสมบัติมันเป็นอย่างไร และถ้าผมจะลงทุน จะเลือกตัวไหน แต่ก็ต้องบอกก่อนว่าผมอาจจะเลือกไม่ลงทุนเลยก็ได้ถ้าผมไม่เชื่อว่าผลการลงทุนในช่วง 5 ปีที่ผ่านมานั้น จะดำเนินต่อไปในอนาคตอีก 5 ปีหรือยาวกว่านั้น

ผมคิดว่าช่วงเวลา 5 ปีที่ผ่านมานั้น ผลตอบแทนของสินทรัพย์ต่าง ๆ อาจจะ “ไม่ปกติ” เพราะมีการเก็งกำไรในตลาดการลงทุนสูงมากจนทำให้ราคาทรัพย์สินเกือบทุกชนิดปรับตัวขึ้นไปสูง “เกินพื้นฐาน” ทางเศรษฐกิจไปมาก และถ้าการเก็งกำไรลดลงหรือหมดไป ราคาก็อาจจะตกลงไปมาก บางทีอาจจะกลายเป็น “หายนะ” ได้

แต่นั่นก็อาจจะเป็นความเห็นที่ผิดได้ โดยเฉพาะกับทองและบิตคอยน์ซึ่งนักลงทุนโดยเฉพาะแนว VI บอกว่าเป็นสินทรัพย์ที่ “ไม่มีพื้นฐาน” เพราะมันไม่ได้สร้างอะไรหรือผลิตอะไรที่เป็นประโยชน์ในการใช้สอยและทำกำไรจ่ายปันผลให้เราได้ ถือเอาไว้มันก็ไม่เคยโต เหตุผลที่ราคาจะเพิ่มขึ้นก็เพราะ “มีคนมาซื้อต่อ” ถ้าคนไม่ซื้อ มันก็ไม่มีค่า

แต่ผมคิดว่าเรื่องนี้คงต้องมาวิเคราะห์ให้ลึกซึ้งและละเอียดขึ้น ทั้งทองและบิตคอยน์ ประการแรกก็คือ ทอง ที่ผมคิดว่ามีค่าแน่นอน เพราะมันถูกทำเป็นเครื่องประดับที่มีคุณค่าสูงในแง่ที่ว่า คนที่ใช้มันประดับร่างกายจะกลายเป็นคนที่ดูดีและที่สำคัญ “ดูรวย” ว่าที่จริงผมยังไม่เคยเจอใครที่บอกว่าทองนั้น “ไม่มีค่า” หรือมีค่าน้อย ทุกคนบอกว่าทองนั้น “เลอค่า” คล้าย ๆ เพชรที่ช่วงหนึ่งเมื่อซักหลาย ๆ ปีก่อนมีการโฆษณาว่า “เลอค่า” และผู้หญิงทุกคนต่างก็อยากใช้เป็นเครื่องประดับในวันแต่งงาน ว่าที่จริงทองนั้นมีค่าตั้งแต่สมัยอียิปต์รุ่งเรืองเมื่อหลายพันปีมาแล้ว ไม่มีใครเปลี่ยนความคิดนี้ได้จนถึงปัจจุบัน

บิตคอยน์นั้น มีน้อยคนมากในโลกที่คิดว่ามันมีค่า ว่าที่จริงคนส่วนใหญ่ไม่รู้จักมันด้วยซ้ำไป คนที่คิดว่าบิตคอยน์มีค่าส่วนใหญ่ก็คือคนที่เล่นบิตคอยน์หรือลงทุนบิตคอยน์เพราะเขาคิดว่าราคามันจะปรับตัวขึ้นไปอีกมากในเวลาอันสั้น พวกเขาเป็น “นักเก็งกำไร” ที่จ้องดูราคาของบิตคอยน์วันต่อวัน

ส่วนคนอีกกลุ่มหนึ่งที่อาจจะฉลาดมาก ซึ่งรวมถึงคนที่สร้างบิตคอยน์ขึ้นจากโปรแกรมคอมพิวเตอร์ มองดูว่าบิตคอยน์นั้นมีคุณสมบัติที่สามารถแทน “เงินเฟียต” หรือเงินที่แบ้งค์ชาติของแต่ละประเทศพิมพ์ออกมาเป็น “กระดาษ” ที่เราใช้อยู่ และวันหนึ่ง บิตคอยน์ก็จะถูกใช้แทนเงินเฟียตทั่วโลก “ก็คงจะคล้าย ๆ กับอะไรหลาย ๆ อย่างในโลกที่เอกสารที่เป็นกระดาษถูกแทนด้วยข้อมูลดิจิทัล” พวกเขาอาจจะคิดแบบนั้น และถ้าเงินกระดาษ “มีค่า” เงินที่เป็นดิจิทัลแบบบิตคอยน์ก็ต้อง “มีค่า” คนที่ “ทำมาหากิน” ทุกวันก็จะต้องอยากได้และยินดีขายของและรับบิตคอยน์แทนเงินเฟียตที่ใช้อยู่

แต่ข้อเท็จจริงก็คือ ผมยังไม่เห็นคนค้าขายที่ไหนรับบิตคอยน์เลยทั้ง ๆ ที่มันเกิดขึ้นมาและโด่งดังมาเกือบ 10 ปีแล้ว ในขณะที่ข้อมูลคอมพิวเตอร์แบบอื่นนั้น ได้เข้ามาแทนที่ข้อมูลบนกระดาษอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม เมื่อเร็ว ๆ นี้ เริ่มมีคนที่รับ “เงินบิตคอยน์” มากขึ้นเรื่อย ๆ เหมือนกัน ซึ่งคนที่รับหรือคนที่ใช้ก็คือ คนที่ทำผิดกฎหมายและไม่ต้องการให้ผู้รักษากฎหมายตามเส้นทางการเงินได้ เช่น เจ้าหน้าที่ที่รับเงินสินบน คนโกงและมิจฉาชีพทั้งหลาย หรือโจรสลัดที่จี้เรือและเรียกเงินค่าไถ่ เป็นต้น ดังนั้น สำหรับผมแล้ว บิตคอยน์ในขณะนี้เป็น “เงินเทา” ของโลกที่ใช้ในหมู่อาชญากร ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ทำให้มัน “มีค่า”

เป็นเรื่องยากที่จะบอกว่า คุณค่าหรือมูลค่าที่เหมาะสมของทองและบิตคอยน์ควรเป็นเท่าไร? มีใครตอบได้ไหม? ในทางเศรษฐศาสตร์นั้น ในระยะยาว ราคาของสินทรัพย์ทุกชนิดก็จะวิ่งเข้าหามูลค่าที่แท้จริงเป็นส่วนใหญ่ของเวลา

ทองคำนั้น เนื่องจากมีประวัติของราคายาวนานเป็นร้อย ๆ ปี คุณค่าหรือมูลค่าที่แท้จริงของมันที่เกิดจากการเป็นเครื่องประดับและต่อมาเป็น “ทุนสำรอง” ของความมั่งคั่งทั้งของบุคคลธรรมดาและรัฐชาติทั่วโลกจึงน่าจะเท่า ๆ กับราคาของทองในท้องตลาดเป็นส่วนใหญ่ของเวลา เหตุที่มูลค่ากับราคาไม่เท่ากันตลอดเวลาก็เพราะว่าในบางช่วงมีการ “เก็งกำไร” น้อย ราคาก็จะต่ำกว่ามูลค่า และในช่วงที่มีการเก็งกำไรมากอย่างช่วงเร็ว ๆ นี้ ราคาก็อาจจะสูงกว่าคุณค่ามาก

วิธีที่จะดูว่าราคาสูงเวอร์เกินไปหรือเปล่า ทางหนึ่งก็คือ ดูว่าเส้นกราฟราคาทองคำในระยะยาวนั้น ควรที่จะค่อย ๆ ปรับตัวขึ้นประมาณปีละ 3-4% ตามอัตราเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นในระยะยาว แล้วเปรียบเทียบกับราคาทองคำในปัจจุบัน ถ้าราคาสูงเกินเส้นนี้ไปมากก็ต้องระวังว่าทองอาจจะร้อนเกินไป อย่าเข้าไปแตะ

ในกรณีของบิตคอยน์นั้น การดูประวัติของราคาแค่ 8-9 ปี คงบอกไม่ได้ว่าคุณค่าของมันคือเท่าไร? นับถึงวันนี้ที่ชัดเจนก็คือ มันมีค่าเพราะมันเป็นที่ต้องการของคนที่ต้องการปกปิดความมั่งคั่งของตนเองเป็นหลัก แต่หลายคน รวมถึงคนระดับผู้นำโลกอย่างอเมริกาหรือผู้นำทางด้านเทคโนโลยีอย่างอีลอน มัสก์ ก็เชื่อว่าอนาคตคนจะยอมรับบิตคอยน์มากขึ้น เช่น อาจจะนำเอาบิตคอยน์มาเป็น “ทุนสำรอง” ของความมั่งคั่งแบบเดียวกับทองคำหรือเงินดอลลาร์หรือเงินของประเทศชั้นนำอื่น ๆ ซึ่งนั่นก็จะทำให้ราคาบิตคอยน์เพิ่มขึ้นได้อย่างรวดเร็วและมากขนาดเป็นหลายสิบหรือร้อยเท่าจากปัจจุบัน

แต่อะไรก็ตามที่เป็นเรื่อง “คาดเดา” และ “ยังไม่เกิดขึ้นเลย” หรือเกิดและเจ๊งไปแล้วอย่างประเทศ เอลซันวาดอร์ ที่ประกาศรับบิตคอยน์เป็นเงินในปี 2022 ก็ไม่น่าจะมีผลต่อมูลค่าที่ควรจะเป็นของบิตคอยน์ในแง่ที่ว่ามันจะมาแทนที่เงินตราที่ประเทศทั้งโลกใช้อยู่ และดังนั้น ราคาบิตคอยน์ที่ขึ้นลงหวือหวาก็คือเรื่องของการ “เก็งกำไร” อย่างสูง และคนที่เข้าไปเล่นก็น่าจะมีโอกาสทั้งกำไร 10 เด้งและขาดทุน 90% ได้พอ ๆ กัน

และนั่นนำมาถึงประเด็นเรื่อง “ความเสี่ยง” ซึ่งสำคัญพอ ๆ กับ “ผลตอบแทน” ของทองและบิตคอยน์ มาดูประวัติการ “ขาดทุนมากที่สุด” หรือ “Maximum Drawdown” ของทองคำกับบิตคอยน์ในช่วงเวลาหนึ่งกันว่าเป็นอย่างไร

ทองคำในช่วงเวลา 20 ปีที่ผ่านมานั้นต้องถือว่าเป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำเมื่อเทียบกับหุ้นหรือหลักทรัพย์ยอดนิยมอื่น ๆ เพราะมีเพียง 3 ช่วงเวลาที่ทองคำตกลงมาหนักเกิน 20% ขึ้นไป

ช่วงที่ 1 ในปี 2008 ที่เป็นช่วงซับไพร์มตกลงมา 7-8 เดือนและลดลงสูงสุดประมาณ 30%

ช่วงที่ 2 เกิดในปี 2011 ตกลงไปยาวประมาณ 4 ปี 3 เดือน และลดลงมากที่สุดถึง 45.5% และนี่ก็คือช่วงที่ทองคำเหงาหงอยยาวนานแต่ก็ไม่ใช่ตกแรงทีเดียวจบ

และช่วงที่ 3 คือปี 2020 ในช่วงโควิด 19 ที่ตกลงมา 2 ปี 3 เดือน และตกลงมามากที่สุด 21%

บิตคอยน์นั้นตรงกันข้ามกับทอง เพราะในช่วงเวลา 9 ปีที่ผ่านมานั้น แทบจะเกือบทุกปี บิตคอยน์จะตกลงมาแรงมากขนาดที่ 20% นั้น กลายเป็นการ “ตกเล็กน้อย”

เริ่มตั้งแต่ปลายปี 2017 บิตคอยน์ตกลงมาแบบ “วิกฤติ” จนถึงปลายปี 2018 ที่ตกลงมาต่ำสุดถึง 83-84% ในเวลา 12 เดือน ก่อนที่จะฟื้นในปี 2019 ได้เพียงปีเดียว

“วิกฤติ” ครั้งที่ 2 ก็เริ่มขึ้นอีกในช่วงต้นปี 2020 ที่บิตคอยน์ตกลงมาถึง 60-65% ในเวลาเพียง 1 เดือนและปรับตัวขึ้นได้แต่ก็อยู่ได้เพียงปีเดียวก่อนที่จะเกิด

“วิกฤติ” ครั้งที่ 3 ในช่วงต้นปี 2021 ที่ราคาบิตคอยน์ตกลงมา 50-55% ในเวลา 2-3 เดือน ก่อนที่จะฟื้นตัวขึ้นจนถึงปลายปีหรือเป็น “ช่วงที่ดี” ของการลงทุนเพียงประมาณ 5-6 เดือนก่อนที่จะเกิดการถล่มครั้งใหม่ที่เป็น

“วิกฤติ” ครั้งที่ 4 ในช่วงปลายปี 2021 ต่อเนื่องถึงปลายปี 2022 เป็นเวลา 12 เดือน ที่บิตคอยน์ตกลงไปเรื่อย ๆ จนขาดทุนถึง 75-78% ก่อนที่จะปรับตัวขึ้นมาเรื่อย ๆ ค่อนข้าง “ยาวนาน” ถึงเกือบ 3 ปี จนทำให้ 1 บิตคอยน์มีราคากว่า120,000 ดอลลาร์ หรือเกือบ 4 ล้านบาท ในเดือนตุลคม 2025 ที่ผ่านมาก่อนที่จะปรับตัวลงแรงประมาณ 25-28% อีกครั้งในช่วงเดือนพฤศจิกายนนี้ที่ถือเป็นครั้งที่ 5 ที่ยังไม่รู้ว่าจะกลายเป็น “วิกฤติ” อีกหรือเปล่า

และทั้งหมดนั้นก็คือข้อมูลเกี่ยวกับโปรไฟล์ของทองกับบิตคอยน์ที่คนคิดลงทุนจะต้องตระหนักและควรจะท่องจำไว้ว่า “ราคาทองนั้น 20 ปี อาจจะวิกฤติครั้งหนึ่ง หุ้นเกิดวิกฤตทุก 10 ปี แต่บิตคอยน์นั้น เกิดวิกฤติทุกปี” เพื่อที่จะเตือนตัวเองเสมอไม่ให้กล้าหรือโลภเกินไป และแน่นอนว่า ไม่ว่าจะเล่นอะไรก็ตาม อย่าจำนองบ้านมาลงทุน

โลกในมุมมแงของ Value Investor
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
29 พฤศจิกายน 2568

3 weeks ago | [YT] | 36

Money Chat Thailand

นักวิเคราะห์มองบวก
หลังสหรัฐฯ ยกเว้นภาษีนำเข้า
สินค้าเกษตรกว่า 200 รายการ
หนุน COCOCO รับอานิสงส์ในไตรมาส 4/68


นักวิเคราะห์มองบวก หลังสหรัฐฯ ยกเว้นภาษีนำเข้าสินค้าเกษตรกว่า 200 รายการ หนุน COCOCO มีโอกาสรับอานิสงส์ในไตรมาส 4/68 ส่งสัญญาณบวกต่อผู้ส่งออกไทย โดยเฉพาะ COCOCO ที่เติบโตแข็งแกร่งในตลาดอเมริกา ด้าน CEO “COCOCO” ผู้ส่งออกผลิตภัณฑ์แปรรูปจากมะพร้าวรายใหญ่ พร้อม เดินหน้า รุกตลาดอเมริกาอย่างต่อเนื่อง โดยยอดขายในตลาดดังกล่าวยังคงเติบโตแข็งแกร่งทั้ง เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า (YoY) และ เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) พร้อมเสริมความแข็งแกร่งของห่วงโซ่อุปทานผ่านการลงทุนในโรงงานแห่งใหม่ที่ประเทศฟิลิปปินส์ ภายใต้บริษัท NOVOCOCONUT INC. เพื่อเพิ่มศักยภาพการผลิตและลดความเสี่ยงในระยะยาว


นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานของบริษัท หลักทรัพย์ ลิเบอเรเตอร์ จำกัด : LIB เปิดเผยบทวิเคราะห์ถึงกรณีที่สหรัฐฯ ยกเว้นภาษีบางรายการว่า ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐประกาศให้ตั้งแต่วันที่ 13 พ.ย. เวลา 0:01 น. เวลาสหรัฐฯเป็นต้นไป จะยกเว้นภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal tariff) สินค้าการเกษตรกว่า 200 รายการ อาทิ กาแฟ, เนื้อวัว, กล้วย, น้ำส้ม และน้ำมะพร้าว ประกอบด้วยน้ำมะพร้าว, น้ำมะพร้าวผสม, เนื้อมะพร้าวแช่แข็ง, น้ำมันมะพร้าว และมะพร้าวที่เตรียมหรือถนอมไว้ด้วยวิธีอื่น จากความต้องการที่สูงภายในประเทศ ส่งผลให้บริษัทไทยได้ประโยชน์จากการที่ลูกค้าสหรัฐฯมีต้นทุนถูกลง จึงไม่ต้องต่อราคากับบริษัทไทยมากเท่าก่อนหน้านี้


นักวิเคราะห์ ให้ความคิดเห็นว่า ฝ่ายวิเคราะห์มีมุมมองเป็น "บวก" ต่อบริษัทที่มีรายได้จากการส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ อาทิ COCOCO ที่ส่งออกทั้งกะทิ และน้ำมะพร้าวไปสหรัฐฯ โดยผู้บริหาร COCOCO กำลังประสานงานกับกรมศุลกากร หากได้รับการยกเว้นภาษี โดยปัจจัยบวกนี้จะช่วยพยุงกำไรของ COCOCO ใน4Q25 ซึ่งเป็น Low season


ดร.วรวัฒน์ ชิ้นปิ่นเกลียว ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทย โคโคนัท จำกัด (มหาชน) หรือ COCOCO เปิดเผยว่า ตลาดสหรัฐฯ ถือเป็น ตลาดเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Market) ที่สร้างการเติบโตให้กับบริษัทอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2568 ยอดขายในตลาดสหรัฐฯ ของบริษัท ขยายตัวเพิ่มขึ้นทั้งแบบปีต่อปี (YoY) และ ไตรมาสต่อไตรมาส (QoQ) สะท้อนให้เห็นถึง ความต้องการบริโภคผลิตภัณฑ์จากมะพร้าวที่ยังคงแข็งแกร่ง และ กระแสความนิยมในเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ (Health & Wellness) ที่เติบโตชัดเจนในตลาดอเมริกา


“มาตรการยกเว้นภาษีของสหรัฐฯ ถือเป็นแรงสนับสนุนสำคัญที่ช่วยเสริมการเติบโตของบริษัทในตลาดอเมริกา ซึ่งเป็นตลาดที่มียอดขายขยายตัวอย่างต่อเนื่องอยู่แล้ว COCOCO จะเดินหน้าขยายตลาดสหรัฐฯ ทั้งในด้านการเพิ่มช่องทางจัดจำหน่าย การสร้างความร่วมมือกับพันธมิตร และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคในภูมิภาคนี้มากยิ่งขึ้น”


สำหรับ โรงงานแห่งใหม่ของบริษัทในประเทศฟิลิปปินส์ ภายใต้ชื่อ NOVOCOCONUT INC. ขณะนี้บริษัทฯ ได้ตัดสินใจลงทุนเพิ่มใน Phase 2 เพื่อให้โครงการมีความสมบูรณ์และสามารถรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นในอนาคต โดยการขยายโครงการดังกล่าวส่งผลให้ระยะเวลาเปิดดำเนินการเลื่อนออกจากแผนเดิมเล็กน้อย


โรงงานในฟิลิปปินส์จะมีบทบาทสำคัญในการ เสริมศักยภาพการผลิตของกลุ่มบริษัทฯ และ ลดความเสี่ยงด้านห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Risk) ในระยะยาว ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายของ COCOCO ในการเป็น ผู้นำอุตสาหกรรมมะพร้าวระดับโลก ที่เติบโตอย่างยั่งยืนทั้งในมิติของเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และสังคม


#COCOCO #ไทยโคโคนัท #หุ้น

1 month ago | [YT] | 23

Money Chat Thailand

COCOCO ย้ำ
ดำเนินธุรกิจโปร่งใส
หนุนตรวจสอบ
โรงงานน้ำมะพร้าวเต็มที่

จากกรณีที่มีเจ้าหน้าที่ภาครัฐเข้าตรวจสอบโรงงานผลิตน้ำมะพร้าวแห่งหนึ่งในพื้น ที่ตำบลดอนกรวย อำเภอดำเนินสะดวก จังหวัดราชบุรี ซึ่งไม่เป็นไปมาตรฐานตามที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กำหนด ซึ่งมีการเผยแพร่ข่าวในสื่อสังคมออนไลน์นั้น

ดร.วรวัฒน์ ชิ้นปิ่นเกลียว ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทย โคโคนัท จำกัด (มหาชน) หรือ COCOCO ผู้ผลิตจำหน่าย และส่งออกผลิตภัณฑ์แปรรูปจากมะพร้าวรายใหญ่ของไทย กล่าวว่า บริษัทฯขอชี้แจงว่า บริษัทฯ ขอชี้แจงว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ กับโรงงานดังกล่าว โดยโรงงาน COCOCO ตั้งอยู่ที่ ตำบลหนองกลางนา อำเภอเมืองราชบุรี จังหวัดราชบุรี ซึ่งเป็นโรงงานที่ได้รับการรับรองตามมาตรฐาน ISO 22000, HACCP, GMP, BRC, Halal และอื่น ๆ ครบถ้วน

COCOCO ดำเนินธุรกิจภายใต้หลัก ความโปร่งใส (Transparency) และ การตรวจสอบได้ (Traceability) ทุกขั้นตอน ตั้งแต่การคัดเลือกวัตถุดิบ การผลิต ไปจนถึงการส่งออกสินค้าไปยังกว่า 100 ประเทศทั่วโลก

“การดำเนินการตรวจสอบของภาครัฐถือเป็นสิ่งที่ดีและเป็นประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมโดยรวม เพราะช่วยยกระดับความน่าเชื่อถือและมาตรฐานของสินค้ามะพร้าวไทยในตลาดโลก รวมถึงสร้างความมั่นใจให้ผู้บริโภคว่าผลิตภัณฑ์จากประเทศไทยมีความปลอดภัยและได้มาตรฐานสากลอย่างแท้จริง” ดร.วรวัฒน์กล่าว

นอกจากนี้ บริษัทฯ มองว่าการตรวจสอบและจัดระเบียบโรงงานที่ไม่ได้มาตรฐาน ส่งผลเชิงบวกต่ออุตสาหกรรมมะพร้าวของไทยในภาพรวม โดยจะช่วยลดความสับสนของตลาด เพิ่มความโปร่งใสในการแข่งขัน และเปิดโอกาสให้บริษัทขยายฐานลูกค้าใหม่ในตลาดต่างประเทศได้มากขึ้นCOCOCO ยืนยันความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจด้วย ธรรมาภิบาล (Corporate Governance) ยึดหลัก คุณภาพ ความปลอดภัย และความยั่งยืน (Quality, Safety, and Sustainability) เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมมะพร้าวไทยให้เติบโตอย่างมั่นคงและเป็นที่ยอมรับในระดับสากล

1 month ago | [YT] | 36

Money Chat Thailand

📢 เริ่มแล้ว!!!!!!! 🔥🔥🔥
⚡️⚡️FLASH SALE 11.11 ⚡️⚡️
ลดวันเดียว 11 พฤศจิกายนนี้

ถึงเวลายกระดับจากนักลงทุนธรรมดา
สู่ “นักล่าหุ้นเด่นทั่วโลกด้วย AI"

กับคอร์สอบรม
AI STOCK HUNTER⚡️
ติดอาวุธ หาหุ้นเด่น เพิ่มพลังพอร์ต

คอร์สเดียวที่จะเปลี่ยนคุณจากผู้ตามตลาดให้เป็นนักล่าหุ้นแห่งอนาคต พร้อมเทคนิคการใช้จริงจาก “ 5 ผู้เชี่ยวชาญลงทุนระดับประเทศ”

• ดร.อธิป อัศวานันท์
• ทิวา ชินธาดาพงศ์
• ประกิต สิริวัฒนเกตุ
• ธำรงชัย เอกอมรวงศ์
• ปุณยวีร์ จันทรขจร

สิ่งที่ผู้เรียนได้รับ

✅ เข้าใจโครงสร้างการทำงานของ AI อย่างนักลงทุนมืออาชีพ มองเห็นโอกาสจาก Generative AI อย่าง ChatGPT, Gemini, Perplexity และรู้เท่าทัน “ข้อมูลเทียม ข่าวลวง และ bias” ที่อาจหลอกให้ตัดสินใจผิด

✅ ฝึกเขียน Prompt แบบ VI ตัวจริง ตั้งแต่ค้นหาหุ้นเด่น วิเคราะห์งบ ไปจนถึงสร้างชุด Prompt สำหรับแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรม

✅ เรียนรู้ศิลปะแห่ง Prompt Engineering คิดเป็นระบบ ตั้งคำถามแบบ Engineer เพื่อให้ AI ดึง insight คำตอบที่มีประสิทธิภาพที่สุด

✅ได้รับ Prompt Template + Workflow Structure พร้อมใช้มี “ระบบ AI ส่วนตัว” ที่ช่วยตัดสินใจอย่างมีเหตุผลในทุกครั้งที่ลงทุน

✅ ใช้ AI สแกนตลาดโลก และวิเคราะห์ธีมการลงทุนใหม่ จาก Quantum, Semiconductor, AI Infrastructure, Cybersecurity และ Power GRID เป็นต้น

✅สร้าง Workflow การลงทุนแบบ Automation เป็นทั้งตัวช่วยสรุปข่าว สร้างสัญญาณ และวิเคราะห์พอร์ตให้ทุกสัปดาห์

✅ ฝึกออกแบบระบบ AI ให้คิดและวิเคราะห์เหมือนนักลงทุนระดับตำนาน เช่น Warren Buffett เป็นต้น

✅ Workshop ลงมือทำจริง 1 วันเต็ม ฝึกใช้เครื่องมือ AI ตั้งแต่ต้นจนจบ พร้อมรับ Feedback จากวิทยากรผู้เชี่ยวชาญ

⚡️FLASH SALE 11.11 ลดทันที 30%
ตั้งแต่ 00.00 – 23.59 น. วันที่ 11 พฤศจิกายน เท่านั้น

📍สำรองที่นั่งและดูรายละเอียดเพิ่มเติมผ่าน Zipevent
www.zipeventapp.com/e/ai-stock-hunter

1 month ago | [YT] | 8