This channel is for all "people who want to know", a space for them to find out about themselves.
If you like science, astronomy, alien land
Fun stories in our universe that never ends. We are friends!
#science #astrology #space #khonfairuStudios #curiosity #knowledge #space #cosmos #education #documentary #astronomy
คนใฝ่รู้ [Studios]
ภาพถ่ายขณะยาน Perseverance ร่อนลงสู่ผิวดาวอังคารเมื่อ 3 ปีก่อน
ขอบคุณภาพจาก
NASA/JPL-Caltech/Simeon Schmauß/Andrea Luck
5 months ago | [YT] | 111
View 4 replies
คนใฝ่รู้ [Studios]
ฮือฮา ดาวเคราะห์น้อยจ่อมาโคจรใกล้โลก เป็นเพื่อนดวงจันทร์นาน 2 เดือน
ดาวเคราะห์น้อยขนาดเล็กจะเดินทางเข้าใกล้โลกในช่วงปลายเดือนนี้ และมันจะถูกแรงดึงดูดของโลกจับไว้ ให้โคจรรอบโลกนานถึง 2 เดือน
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ดวงจันทร์ของเรากำลังจะได้เพื่อนร่วมทางใหม่ในการโคจรรอบโลก เนื่องจากดาวเคราะห์น้อยขนาดจิ๋วชื่อว่า “2024 PT5” กำลังจะเดินทางเข้าใกล้โลกและถูกแรงโน้มถ่วงของโลกจับเอาไว้ ซึ่งจะทำให้มันเดินทางในวงโคจรของดาวเคราะห์สีฟ้าดวงนี้นานเกือบ 2 เดือน ตั้ง 29 ก.ย.ถึง 25 พ.ย.
ดาวเคราะห์น้อย 2024 PT5 ถูกพบครั้งแรกเมื่อ 7 ส.ค. ด้วย “ระบบแจ้งเตือนดาวเคราะห์น้อยกระทบพื้นโลก” หรือ “ATLAS” ซึ่งเป็นระบบเตือนภัยล่วงหน้ากรณีดาวเคราะห์น้อยจะชนโลก ซึ่งได้รับทุนสนับสนุนจากนาซา
ตามรายงานที่เผยแพร่ในบันทึกการวิจัยของสมาคมดาราศาสตร์อเมริกัน (AAS) ดาวเคราะห์น้อยดวงนี้มีขนาดไม่ใหญ่ มีเส้ยผ่ายศูนย์กลางเพียง 10 ม. โดยในระหว่าง 53 วันที่มันอยู่ใกล้โลกนี้ 2024 PT5 จะไม่ได้โคจรรอบโลกครบรอบ แต่จะเดินทางเป็นรูปเกือบม้าซ้ำไปซ้ำมา ก่อนที่มันจะหลุดจากแรงดึงดูดของโลกแล้วเดินทางจากไป
รายงานของ AAS ระบุอีกว่า แรงโน้มถ่วงของโลกมักยึดจับดาวเคราะห์น้อย แล้วดังมันมาโคจรรอบโลก โดยบางดวงจะโคจรเป็นรูปไข่ 1-2 รอบเต็ม หรือไม่ครบรอบ ก่อนจะแยกตัวออกไป
เมื่อปี 2549 ดาวเคราะห์น้อยดวงหนึ่งถูกโลกดึงดูดเอาไว้ และโคจรรอบโลกนานถึง 1 ปี ตั้งแต่ กรกฎาคม 2549-กรกฎาคม 2550 แต่การโคจรของ 2024 PT5 ซึ่งเพิ่งถูกค้นพบใหม่นี้ จะคล้ายกับกรณีของดาวเคราะห์น้อย 2022 NX1 ซึ่งเดินทางผ่านโลกมาแล้ว 2 ครั้งในปี 2523 และ 2565 โดยไม่เคยโคจรเต็มรอบ และมันจะกลับมาอีกครั้งในปี 2594
ที่มา:
www.thairath.co.th/news/foreign/2814458?fbclid=IwZ…
8 months ago | [YT] | 78
View 3 replies
คนใฝ่รู้ [Studios]
🪐 เตรียมดูฝนดาวตกกัน! เดือนนี้กำลังจะมีฝน ฝนดาวตกเดลตาอควอริดส์
🌌 ชวนเธอมาดูดาวด้วยกัน คืนวันที่ 30 - เช้า 31 ก.ค. 67 เตรียมดูฝนดาวตก ฝนดาวตกเดลตาอควอริดส์ มีอัตราการตก 25 ดวง/ชม. เตรียมชวนหวานใจกับเพื่อน ๆ มาดูดาวด้วยกัน!
ขอบคุณรูปภาพ : Unsplash
ขอบคุณข้อมูลจาก : NARIT สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ
10 months ago | [YT] | 94
View 4 replies
คนใฝ่รู้ [Studios]
พบ "น้ำค้างแข็ง" บริเวณภูเขาไฟบนดาวอังคารเป็นครั้งแรก!
นักดาราศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยบราวน์ (Brown University) ประเทศสหรัฐฯ ตรวจพบ น้ำค้างแข็ง (Water frost) ที่มีความหนา 0.01 มิลลิเมตร บริเวณใกล้เส้นศูนย์สูตรของดาวอังคารเป็นครั้งแรก มีปริมาณน้ำรวมกันมากถึง 111 ล้านลิตร แพร่กระจายอยู่ในพื้นที่ธาร์ซิส (Tharsis) ซึ่งเป็นพื้นที่ภูเขาไฟขนาดใหญ่ที่สุดในระบบสุริยจักรวาล
วันที่ 21 มิ.ย. 2567 สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (NARIT) รายงานว่า Adomas Valantinas นักดาราศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยบราวน์ (Brown University) ประเทศสหรัฐฯ ตรวจพบ น้ำค้างแข็ง (Water frost) ที่มีความหนา 0.01 มิลลิเมตร บริเวณใกล้เส้นศูนย์สูตรของดาวอังคารเป็นครั้งแรก ตรวจพบโดยยานสำรวจขององค์การอวกาศยุโรป (ESA) ได้แก่ ยาน ExoMars Trace Gas Orbiter (TGO) และยาน Mars Express ซึ่งน้ำค้างแข็งดังกล่าวมีปริมาณน้ำรวมกันมากถึง 111 ล้านลิตร แพร่กระจายอยู่ในพื้นที่ธาร์ซิส (Tharsis) ซึ่งเป็นหย่อมพื้นที่ภูเขาไฟกว้างใหญ่ที่สุดบนดาวอังคาร โดยบริเวณดังกล่าวไม่เคยมีการตรวจพบน้ำค้างแข็งมาก่อน เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่ได้รับแสงอาทิตย์ค่อนข้างมาก รวมถึงชั้นบรรยากาศเบาบางของดาวอังคาร ทำให้อุณหภูมิบริเวณนี้ค่อนข้างสูงกว่าพื้นที่อื่น และนอกจากนั้นการที่ยานอวกาศจะสังเกตการณ์ให้เห็นแถบน้ำค้างแข็งเหล่านี้ได้ ยานจะต้องโคจรผ่านพื้นที่ในช่วงรุ่งเช้าบนดาวอังคารเท่านั้น ซึ่งมีเพียงยานอวกาศของ ESA เพียง 2 ลำ ได้แก่ Mars Express และ TGO ขณะที่ยานสำรวจขององค์การอวกาศแห่งอื่นมีวงโคจรรอบดาวอังคารที่สอดคล้องกับตำแหน่งดวงอาทิตย์ จึงสามารถสังเกตพื้นที่นี้ได้ในช่วงบ่ายเท่านั้น ซึ่งช่วงเวลาดังกล่าวน้ำค้างแข็งก็จะระเหิดไปจนหมดแล้ว
การพบน้ำค้างแข็งครั้งนี้ นักดาราศาสตร์ได้อธิบายว่า ภูเขาไฟบริเวณพื้นที่ธาร์ซิส มีปากปล่องบนยอดเขาที่ยุบลึกลงไป เกิดจากช่องหินหนืด (magma chamber) ระหว่างการปะทุ ทีมนักวิจัยคาดว่าลักษณะการหมุนวนของอากาศที่แปลกประหลาดเหนือพื้นที่ธาร์ซิส คือเมื่อกระแสลมพัดขึ้นมาตามเนินลาดของภูเขาไฟ ได้นำอากาศชื้นจากพื้นด้านล่างมายังพื้นที่ที่สูงกว่า แล้วไอน้ำในอากาศได้ควบแน่นกลายเป็นน้ำค้างแข็งตามยอดเขา โดยงานวิจัยครั้งนี้ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารวิจัย Nature Geoscience เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2567
ที่มา:
www.nsm.or.th/nsm/index.php/th/node/55024
10 months ago | [YT] | 64
View 7 replies
คนใฝ่รู้ [Studios]
GLASS BEACH Waves เปลี่ยนชายทะเลของรัสเซีย จากพื้นที่ทิ้งขวดแอลกอฮอล์ให้กลายเป็น 'ชายหาดกรวด' สีสันสดใส
ในอดีต อ่าวอัสสุรี ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับเมืองวลาดิวอสต็อก ทางตะวันออกไกลของรัสเซีย เคยเป็นพื้นที่ทิ้งขวดเหล้าที่ขายไม่ออกหรือขวดเปล่า และขยะจากโรงงานเครื่องเคลือบดินเผา รถบรรทุกมาที่นี่ทุกวันเพื่อขนถ่ายสินค้า
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
คลื่นได้ทำหน้าที่กัดเซาะ ขัดเกลา จนทำให้สถานที่นี้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ชิ้นแก้วได้รับการขัดเงา และปัดให้โค้งมน เปลี่ยนกองขยะให้กลายเป็นชายหาดกรวดหลากสี
10 months ago | [YT] | 107
View 5 replies
คนใฝ่รู้ [Studios]
ขอบคุณที่ให้เราเติบโตมาพร้อมกันนะคนดู...
ขอบคุณกำลังใจดีๆแบบนี้นะ มันมีคุณค่าจริงๆ
#น้ำตาจะไหล ❤️ 🥲
11 months ago | [YT] | 161
View 6 replies
คนใฝ่รู้ [Studios]
ภาพถ่ายเพียง "ภาพเดียว" จากพื้นผิวดาวศุกร์
สาเหตุก็เพราะว่าดาวศุกร์ถูกปกคลุมไปด้วยบรรยากาศที่เลวร้ายมาก ทั้งคาร์บอนไดออกไซด์ ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ฝนกรดซัลฟิวริก ความร้อนระดับ 460 องศาเซลเซียส
นี่เป็นหนึ่งในภาพเพียงภาพเดียวที่เคยจับภาพพื้นผิวดาวศุกร์ได้ โดยยานสำรวจของรัสเซีย
ซึ่งยานลำนั้นก็ทนได้ไม่กี่นาทีก่อนจะระเบิด ภายใต้ความกดดัน 93 บาร์
#เครดิต. #WTFเรื่องเด็ดรอบโลก
11 months ago | [YT] | 147
View 4 replies
คนใฝ่รู้ [Studios]
ภาพถ่ายดาวศุกร์ที่ชัดเจนที่สุดเท่าที่เคยถ่ายมา (อินฟราเรด)!
โดยยานอวกาศ Akatsuki (แสงอุษา) ของญี่ปุ่น
11 months ago | [YT] | 217
View 11 replies
คนใฝ่รู้ [Studios]
📣 ทำถึงมาก! นาซ่าก็พาเธอกลับมาไม่ได้ แต่น่าซ่าพาอวกาศในวันเกิดมาให้ดูได้นะ ลองดูกันเลย
🌌 วันเกิดตัวเองอวกาศในวันนั้นเป็นแบบไหนกันนะ! อยากรู้กันยัง ลองเช็กเลยที่เว็บไซต์ NASA ได้เลย มีครบทั้ง 365 วัน เพียงกรอกวันและเดือนที่เราเกิดรูปอวกาศในวันนั้น ๆ ก็จะขึ้นมาให้ดูทันทีจ้า มีรายละเอียดอธิบายให้อ่านกันด้วยนะ แต่ละวันสวยมาก ไม่แพ้กันเลย ตื่นตาตื่นใจสุด ๆ ลองไปดูแล้วกดเซฟไว้ได้เลย
*ภาพที่สองคือภาพประจำวันเกิดของแอดเอง😁
👩🏻💻 ดูอวกาศในวันเกิดได้ที่
science.nasa.gov/mission/hubble/multimedia/what-di…
#NASA
11 months ago | [YT] | 126
View 6 replies
คนใฝ่รู้ [Studios]
ทำไมนักฟิสิกส์ชื่อกระฉ่อน ทำนายว่ายุคควอนตัมจะเป็นก้าวกระโดดใหญ่ของมนุษยชาติ
มิจิโอะ คากุ นักฟิสิกส์และนักเขียนชาวอเมริกันเชื้อสายญี่ปุ่น เชื่อมั่นว่ายุคควอนตัมจะกำหนดอนาคตของพวกเรา
คากุ ในวัย 77 ปี สร้างชื่อเสียงในสาขาฟิสิกส์เชิงทฤษฎี และเป็นนักสื่อสารทางวิทยาศาสตร์ชื่อดัง โดยเขาเป็นศาสตราจารย์ด้านฟิสิกส์เชิงทฤษฎีที่มหาวิทยาลัยแห่งนครนิวยอร์ก และเป็นผู้เขียนหนังสือ “อำนาจสูงสุดของควอนตัม (Quantum Supremacy)”
นักฟิสิกส์เชื้อสายญี่ปุ่นผู้นี้มองว่า ยุคควอนตัมและการคำนวณเชิงควอนตัม จะช่วยให้เราพบหนทางแก้ปัญหาท้าทายอันยิ่งใหญ่ที่สุดของมวลมนุษยชาติ ไม่ว่าจะเป็นการขจัดโรคร้ายให้หมดไป จนถึงการหาแหล่งอาหารสำหรับประชากรโลกที่นับวันมีแต่จะเพิ่มขึ้น
ขณะเดียวกัน เขาทำนายด้วยว่า ปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) จะเป็นภัยต่อมนุษยชาติ แต่ตอนนี้ ยังพอมีเวลาที่เราจะควบคุมมันได้
ในบทสัมภาษณ์พิเศษชิ้นนี้ บีบีซีขอให้ คากุ อธิบายคำทำนายเกี่ยวกับอนาคต ซึ่งถูกพูดถึงในหนังสือของเขา
คุณอธิบายแนวคิดในงานเขียนของคุณที่ระบุว่ามนุษย์มี “3 สมอง” ได้ไหม ?
เมื่อคุณวิเคราะห์สมองมนุษย์ คุณจะพบว่า มันมีองค์ประกอบอย่างน้อย 3 ส่วน
สมองส่วนหลัง คือ สมองของสัตว์เลื้อยคลาน มันควบคุมการจดจำรูปแบบการล่า และทำความเข้าใจเชิงสามมิติว่าคุณอยู่ที่ไหน
เมื่อเราเติบโตขึ้น สมองเราก็พัฒนาไปข้างหน้า ทำให้เกิดสมองส่วนกลาง คือสมองส่วนลิมบิก ซึ่งเป็นสมอง “ลิง” ที่ช่วยให้เข้าใจถึงลำดับชั้นทางสังคมว่าใครอยู่เหนือหรือใครอยู่ต่ำกว่าคุณ สมองส่วนกลางจึงเป็นสมองทางสังคม
ขณะที่ สมองส่วนหน้า คือเยื่อหุ้มสมองส่วนหน้า ทำหน้าที่เป็นไทม์แมชชีนหรือเครื่องท่องเวลา มันมองเห็นอนาคต และจำลองอนาคตที่อาจเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
เราทุกคนมีความสามารถมองเห็นอนาคตได้เหมือนกันไหม ?
อะไรล่ะที่ทำให้สมองของคนธรรมดาต่างกับสมองระดับอัจฉริยะ ?
สมองของคนธรรมดาเปรียบเหมือนนักฉกฉวยโอกาส ที่มองแต่โอกาสที่มาปรากฏอยู่ตรงหน้าแล้วเท่านั้น สมองของคนธรรมดามีการวางแผนน้อยมาก มันก็เหมือนโจรกระจอก ไม่ได้โลภมาก มักคว้าเฉพาะสิ่งที่พวกเขาเห็นเท่านั้น แทบไม่ได้วางแผนอะไรเลย
แต่นักคิดผู้ยิ่งใหญ่จะฝึกฝนในเครื่องไทม์แมชชีน (สมองส่วนหน้า) เพื่อจำลองภาพอนาคต พวกเขารู้ว่ากฎของธรรมชาติทำงานอย่างไร ทำให้วางแผนไปสู่อนาคตได้
เราคิดว่าบางคนฉลาดเพียงเพราะเขารู้สิ่งต่าง ๆ แต่นั่นไม่ใช่แก่นแท้ของสติปัญญา แก่นแท้ของสติปัญญาคือการมองเห็นอนาคตต่างหาก มันจึงเกี่ยวกับสมองส่วนหน้าตรง ๆ
สมองส่วนนี้มันจะฝันกลางวัน จำลองอนาคตที่ยังไม่เกิด คิดไปถึงอนาคต บางครั้งก็คิดไกลออกไปเป็นร้อยปี ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่สมองคนปกติจะทำ ดังนั้น สุดยอดมันสมองหรือสมองของพวกอัจฉริยะ คือสมองของไทม์แมชชีน
ในแนวคิดที่มองหน้าไปถึงอนาคตนี้ อะไรคือการค้นพบยิ่งใหญ่ที่จะเกิดขึ้นในอีก 100 ปีข้างหน้า?
การค้นพบยิ่งใหญ่ในอดีต มักเป็นการวิเคราะห์สิ่งที่เล็กจิ๋ว และเรื่องยิ่งใหญ่
แน่นอนว่าสิ่งเล็ก ๆ อาทิเช่น สมองและพันธุกรรมมนุษย์ ส่วนสิ่งที่ใหญ่มากคือทฤษฎีบิ๊กแบง และตอนนี้ เรากำลังประยุกต์ใช้ทฤษฎีควอนตัมเข้ากับเอกภพ
ก้าวต่อไป คือ การหลอมรวมสองสิ่งนี้เข้าด้วยกัน โดยใช้ทฤษฎีควอนตัมเพื่อทำความเข้าใจพันธุศาสตร์และสมองมนุษย์
นี่คือจุดที่คอมพิวเตอร์ควอนตัมจะเข้ามา และจริง ๆ แล้ว พลังอำนาจของธรรมชาตินั้น ในบางแง่ก็คือคอมพิวเตอร์ควอนตัม ภาษาที่เราใช้คำนวณบนฐานเลข 0 กับ 1 ไม่ใช่ภาษาของพลังอำนาจของธรรมชาติ เพราะธรรมชาติไม่ได้คิดในแง่ของเลข 0 กับ 1 นั่นคือแนวคิดแบบดิจิทัล
ดังนั้น พลังอำนาจของธรรมชาติมีสมองแบบควอนตัม สมองที่เข้าใจว่า อะตอม อิเล็กตรอน อนุภาคโฟโตนิก คืออะไร ซึ่งนั่นเป็นภาษาของเอกภพ และกำลังทำให้เราก้าวกระโดดครั้งใหญ่
ก้าวที่ยิ่งใหญ่นี้จะอยู่ในสาขาฟิสิกส์เท่านั้น หรือเกิดขึ้นกับสาขาอื่น ๆ ด้วย เช่น เวชศาสตร์ ?
เวชศาสตร์ คือ ศาสตร์ของการลองผิดลองถูก เราพยายามดูว่ายาตัวนี้จะได้ผลหรือไม่ ไม่รู้สิ ลองยาตัวอื่นดูดีกว่า ได้ผลไหมนะ งั้นลองทดสอบกับยาอีกตัวหนึ่งดีกว่า
หลายคนตั้งข้อสังเกตว่า ยาที่มีประสิทธิภาพจำนวนมากถูกค้นพบโดยบังเอิญ แต่ถ้าคุณมีทฤษฎีควอนตัม คุณจำลองภาพโมเลกุลต่าง ๆ เพื่อดูว่ามันทำงานอย่างไรได้
เมื่อทำเช่นนั้นได้แล้ว คุณก็เติมเต็มช่องว่าง เพื่อสร้างยาตัวใหม่ได้ตั้งแต่เริ่มต้นในทันที ถ้าเช่นนั้น หมายความว่านักเคมีจะตกงานไหม ? เพราะเราไม่จำเป็นต้องมีนักเคมีแล้ว มันง่ายกว่าไหมหากมีคอมพิวเตอร์ควอนตัม ?
คำตอบคือ ไม่ใช่เลย นักเคมีในอนาคตจะใช้ทฤษฎีควอนตัมเพื่อเข้าใจปฏิกิริยาเคมีต่าง ๆ ส่วนนักชีววิทยาในอนาคตจะใช้คอมพิวเตอร์ควอนตัม เพื่อเข้าใจการทำงานของสารพันธุกรรมหรือดีเอ็นเอ (DNA)
มีเพียงแพทย์และนักวิทยาศาสตร์ที่ใช้เพียงความรู้ทางเคมี ด้านชีววิทยา เท่านั้น ที่จะตกงาน เพราะในอนาคตจะมุ่งไปสู่กลศาสตร์ควอนตัม และเราจะใช้มันเพื่อสร้างยาต่าง ๆ
ถ้าเราจะเป็นอมตะ ดังนั้น จะไม่มีมะเร็งแล้วใช่ไหม ?
ด้วยความช่วยเหลือจากคอมพิวเตอร์ เราจะรักษาโรคมะเร็งได้ก่อนที่เนื้องอกจะปรากฏให้เห็น เราจะสามารถทำนายโรคมะเร็งของผู้ป่วยได้อย่างง่ายดาย ยกตัวอย่าง แค่เดินเข้าห้องน้ำ ดีเอ็นเอของคุณจะถูกอ่านค่า แล้วคาดการณ์ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต มันจะบอกคุณว่าใน 10 ปีข้างหน้านี้ มีดีเอ็นเอมะเร็งอยู่ตรงไหนบ้าง ก่อนที่เนื้อร้ายจะพัฒนาขึ้นมา
การตรวจเลือดเพื่อวินิจฉัยโรคมะเร็งนั้นเป็นไปได้ในสหรัฐอเมริกา การตรวจเลือดด้วยวิธีการนี้จะเผยให้เห็นว่ามีเชื้อมะเร็งอยู่ในร่างกายหรือไม่ในลักษณะที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น คำว่าเนื้องอกจะหายไปจากภาษาของเรา เช่นเดียวกับคำว่ามะเร็ง
คุณบอกว่าอินเทอร์เน็ตจะล้าสมัยเช่นกัน แปลว่า เราจะเชื่อมต่อกันผ่านจิตใจและสมองงั้นหรือ ?
อินเทอร์เน็ตในอนาคตจะไม่ได้อยู่ในรูปแบบดิจิทัล เพราะมันช้าและหยาบเกินไป ทว่าควอนตัมจะกลายเป็นอินเทอร์เน็ตสำหรับอนาคต เพราะมันผสานเข้ากับสมองได้ มันจะกลายเป็นสิ่งที่เรียกว่า เบรนเน็ต (Brainet) คุณถ่ายโอนความคิดหรือสิ่งที่คุณคิดออกไปทั่วโลก และปฏิสัมพันธ์กับสิ่งต่าง ๆ ได้
ดังนั้น เราไม่จำเป็นต้องใช้สายเคเบิลและอะไรทำนองนั้นอีกต่อไปแล้ว เราแค่คิดและปล่อยให้เบรนเน็ตจัดการส่วนที่เหลือ ซึ่งมันง่ายมาก เพราะคุณแค่คิด แล้วความคิดคุณจะกระจัดกระจายออกไปทั่วโลก
นักวิทยาศาสตร์หลายคนเตือนเกี่ยวกับอันตรายของเอไอ คุณมีวิสัยทัศน์เช่นไรต่อเรื่องนี้ ?
นักวิทยาศาสตร์บางคนบอกว่า สักวันหนึ่งเครื่องจักรของเราจะฉลาดเกินไป แล้วพวกมันจะหันมาเล่นงานเรา แต่ที่จริงแล้วมันมีอันตราย 3 ประการที่มนุษย์ต้องเผชิญ
นั่นคือ ภัยคุกคามจากสงครามนิวเคลียร์ ภัยคุกคามจากอาวุธชีวภาพ และภาวะโลกร้อน รวมทั้งควรเพิ่มภัยคุกคามประการที่ 4 ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าจะส่งผลต่อการดำรงอยู่ของเผ่าพันธุ์มนุษย์ นั่นคือ ปัญญาประดิษฐ์หรือเอไอ โดยพบว่ามันมีภัยคุกคามพื้นฐาน 2 อย่างที่เกิดจากเอไอ ซึ่งมีความแตกต่างกันอย่างมาก
ภัยคุกคามแรก คือ สิ่งที่เกิดขึ้นค่อนข้างทันที นั่นคือโดรนที่มีความสามารถจดจำใบหน้า-ร่างกายของมนุษย์ได้ และสามารถคร่าชีวิตมนุษย์ได้แบบไม่เลือก หากเกิดอุบัติเหตุอะไรขึ้น ดังนั้น เราจะมีเครื่องจักรสังหารอัตโนมัติ ซึ่งสามารถบิน สำรวจพื้นที่ จำแนกรูปร่างมนุษย์ และลงมือฆ่า ไม่ว่าจะจากความไม่ตั้งใจ หรือความพยายามของประเทศใดประเทศหนึ่งที่มีเจตนาคร่าชีวิตทหารของประเทศอื่น
นั่นคือสิ่งที่จะเกิดขึ้นภายในไม่กี่ปีหลังจากนี้ แต่ภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่กว่าในระยะยาวคือการที่เอไอเริ่มมีสติปัญญาใกล้เคียงกับมนุษย์ และมันคือภัยคุกคามอันที่ 2
หนทางยังอีกยาวไกลกว่าเราจะไปถึงจุดนั้น แต่ในที่สุดแล้ว หุ่นยนต์ของเราจะฉลาดเท่ากับหนูหรือกระต่าย จากนั้นก็ฉลาดเท่าหมาหรือแมว และสุดท้ายมันก็ฉลาดเท่ากับลิง ซึ่งเมื่อถึงจุดนั้น มันก็อาจเป็นอันตรายได้ เพราะลิงสามารถทำความเข้าใจความแตกต่างระหว่างลิงกับมนุษย์ได้
ดังนั้น ผมคิดว่า เราอาจจะมีหุ่นยนต์ที่แทบไม่แตกต่างจากคนเลยภายใน 100 ปีนี้ก็เป็นได้ และเมื่อถึงเวลานั้น เราต้องแน่ใจได้ว่า พวกมันจะไม่มีความคิดเป็นของตัวเอง แล้วหันกลับมาเล่นงานเรา เราควรใส่ชิปในสมองของพวกมัน เพื่อสั่งให้มันปิดตัวเองลงหากมีความคิดสังหารผุดขึ้น
แต่ผมคิดว่า เรายังมีเวลาอีกเหลือเฟือก่อนที่จะเกิดสิ่งนั้น โดยอันตรายที่จะเกิดขึ้นในเร็ว ๆ นี้คือโดรนที่สามารถสังหารใครก็ได้แบบไม่เลือกหน้ามากกว่า
คอมพิวเตอร์ควอนตัมจะกำหนดอนาคตเราได้อย่างไร ?
บางคนบอกว่าการปฏิวัติควอนตัมนั้นมันยอดเยี่ยมมากจนทำให้เรากำจัดโรคภัยไข้เจ็บได้ จริง ๆ แล้ว ควอนตัมทำได้แค่บางสิ่งบางอย่างเท่านั้น ผมคิดว่าในที่สุดแล้วมันจะแก้ไขกระบวนการชราภาพได้ เราจึงไม่จำเป็นต้องแก่หรือตายในโลกอนาคต
แม้เราอาจแก้ไขปัญหาการชราภาพได้ แต่มันควอนตัมไม่ได้ช่วยในเรื่องพลวัตรในความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล เพราะวิธีที่มนุษย์ใช้โต้ตอบกัน มันเป็นปฏิสัมพันธ์ทางสังคมอันสลับซับซ้อน ดังนั้น เราจึงยังต้องการหนทางที่แตกต่างจากเดิม เพื่อสร้างความสามัคคี เพื่ออยู่ร่วมกันได้อย่างสันติสุข มากกว่าการทำสงครามอย่างไม่หยุดหย่อน
ความท้าทายใดที่จะไม่ได้รับการแก้ไขในยุคควอนตัม ?
ผมคิดว่าคอมพิวเตอร์ช่วยแก้ไขปัญหาได้มากมาย ยกเว้นเรื่องหนึ่ง
ผมคิดว่าคอมพิวเตอร์ควอนตัมจะช่วยกู้วิกฤตโลกร้อนได้ ช่วยให้เรามีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟิวชั่นที่ไม่สร้างกากนิวเคลียร์ได้ มันจะสร้างหนทางใหม่ ๆ ในการรักษาโรคมะเร็ง อัลไซเมอร์ หรือพาร์กินสันได้ ที่ผมหวังนะ และมันจะสร้างแหล่งมั่งคั่งใหม่ให้กับสังคมด้วย
แต่มีสิ่งหนึ่งที่ควอนตัมคอมพิวเตอร์ไม่สามารถทำได้ในเร็ว ๆ นี้คือการแก้ปัญหาความอ่อนแอของมนุษย์ เช่น สงคราม หรือความอิจฉาริษยา
วิวัฒนาการสร้างให้เรามีความสามารถในการต่อสู้เพื่อปกป้องตัวเอง วิวัฒนาการสร้างคุณลักษณะให้เราหลายอย่าง ซึ่งบางอย่างก็ทำให้เราโน้มเอียงไปที่การสร้างประโยชน์ให้มนุษย์ แต่คุณลักษณะบางอย่างของเรา ก็ไม่ได้เอื้อในเรื่องนี้
วิวัฒนาการไม่ได้สนใจสิ่งนั้นหรอก เพราะมันเพียงต้องการสร้างมนุษย์ให้ดำรงอยู่รอดต่อไปได้ และถ้าหากการเอาชีวิตรอดนั้นหมายถึงการฆ่าเพื่อนมนุษย์คนอื่น ๆ มันก็ต้องเป็นเช่นนั้น ดังนั้น มันจึงมีความไม่สมบูรณ์แบบมากมายอยู่ในตัวมนุษย์เรา
1 year ago | [YT] | 138
View 1 reply
Load more